|
พระโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ทรงตัดสินพระทัยเด็ดเดี่ยวแล้วในการบรรพชา
จึงทรงปรารถนาที่จะทรงเห็น พระโอรสเป็นครั้งสุดท้ายทรงเพ่งพิศพระโอรส
ด้วยเสน่หาอาลัยรัก หากทรงดำริว่า แม้หากเราจะยกพระหัตถ์พระชนนี
แล้วอุ้มเอาพระโอรสขึ้นมา พระนางก็จะตื่นฟื้นจากบรรทม อันตรายต่อการ
ที่จะเสด็จออกบรรพชาก็จะพึงมี อย่าเลย ต่อเมื่อเราได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
การตรัสรู้แล้วจึงจะกลับมาทัศนาลูกน้อยในภายหลัง
เมื่อตัดสินพระทัยเช่นนั้น จึงมีรับสั่งใหันายฉันนะ ซึ่งเป็นมหาดเล็กได้จัดม้า
ถวาย ซึ่งนายฉันนะได้จัดเตรียมม้าชื่อ ม้ากัณฐกะ เป็นอัศวราชยานและ
มหาดเล็กนายฉันนะ ก็ได้ติดตามเสด็จพระโพธิสัตว์ออกจากพระราชวัง
ไปทางประตูทิศตะวันออกมุ่งสู่แคว้นมคธ ในยามนั้นพญามารพยายาม
กล่าวห้ามขัดขวางแต่ก็หาได้ทำให้พระองค์ท่านปลี่ยนแปลงพระทัยไม่
จึงได้ติดตามพระองค์ท่านประดุจเงา
พระโพธิสัตว์ทรงควบม้าสิ้นระยะทาง
๓๐ โยชน์ มุ่งสู่ฝั่ง แม่น้ำอโนมา ตรัสว่า ชื่อแม่น้ำอโนมาเป็นมงคลนิมิต
ซึ่งแปลว่า ไม่ต่ำทราม คือ ยอดเยี่ยม เป็นเลิศ
พระโพธิสัตว์ทรงเสด็จลงจากหลังม้า และทรงมอบเครื่องอาภรณ์และพญาม้า
กัณฐกะให้นายฉันนะ ทรงดำริว่า เกศานี้ไม่ควรแก่การดำรงเพศแห่งความ
เป็นสมณะ ผู้ที่จะตัดพระเกศาพระโพธิสัตว์ก็หามีไม่ จึงควรจะตัดเสียเอง
เมื่อดำริดังนั้นจึงทรงจับพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา และจับจุกพระเกศา
ให้เหลือยาวประมาณ ๒ องคุลีเวียนทางขวาแนบชิดพระเศียร ทรงโยนจุก
พระเกศาขึ้นไปบนอากาศ |
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
|
แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า หากเราได้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้จุกพระเกศานี้
ลอยอยู่กลางอากาศเถิดซึ่งในยามนั้นท้าวสักเทวราชได้ทรงรับพระเกศาไว้
ด้วยผอบแก้วแล้วอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ใน
พระเจดีย์จุฬามณี
และ
มหาพรหมนามว่า ฆฎิการะ ได้นำเอาผ้าทรงไปประดิษฐานไว้ที่ทุสสเจดีย์
ในพรหมเทวโลก
เมื่อทรงสำเร็จเป็นเพศบรรพชิตแล้วตรัสสั่งให้นายฉันนะ
ผู้ติดตามพร้อมม้ากัณฐกะกลับไปแจ้งข่าวการเสด็จออกบวชแก่พระราชบิดา
จากการที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิตหรือเป็นนักบวชแล้ว
พระองค์ได้ทรงทำการศึกษา ในสำนักฤาษีต่าง ๆ ทรงบำเพ็ญเพียรอย่าง
หนักหน่วงเป็นเวลาถึง ๖ ปีเต็ม จนได้สำเร็จในพระโพธิญาณได้บรรลุมรรค
ผลวิเศษรู้แจ้งแห่งญาณทัศนะเข้าถึงความเป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ทรงได้บรรลุ เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ สิ้นอาสวกิเลส
ทั้งหลาย ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ ตรัสรู้ชอบได้โดยลำพัง
พระองค์เอง ครั้นพบสัจธรรมความจริงนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงนำสัจจธรรม
นั้น มาเผยแผ่แก่มหาชนชาวโลกผู้ที่ยังไม่รู้ความจริงให้ได้ทราบตาม
โดยครั้งแรกนั้นได้ทรงประกาศสั่งสอน ธรรมนั้นแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่เคย
เฝ้าอุปัฏฐาก ดูแลพระองค์ในครั้งที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาก่อนที่จะได้ตรัสรู้
ซึ่งในการสั่งสอนธรรม เป็นปฐมเทศนากัณฑ์แรกเกี่ยวกับเรื่องอริยสัจ ๔ คือ
ความจริงอันประเสริฐสี่ประการนั้น หนึ่งในจำนวนนั้น คือ ท่านโกณฑัญญะ
พราหมณ์ ได้เข้าใจธรรมะ คือ ได้มองเห็น ธรรมตามธรรม
|
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
|
ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมนี้อยู่ท่านโกณฑัญญะได้ส่องญาณตามไป
จนเกิด ธรรมจักษุ
หรือ
ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงโดย
เห็นแจ้งชัดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไป
เป็นธรรมดา เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเปล่งพระอุทานว่า อัญญาสิ
วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ แปลว่า โกณฑัญญะ
รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ เพราะพระองค์ทรงอุทานคำนี้ ภายหลัง
ท่านโกณฑัญญะจึงได้นามใหม่ว่า อัญญาโกณฑัญญะจากนั้นโกณฑัญญะ
ก็ทูลขออุปสมบท ซึ่งพระพุทธเจ้าประทานอนุญาต โดยทำการอุปสมบทให
้แบบ เอหิภิกขุ อุปสัมปทาน นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนาที่บวช
ตามพระพุทธองค์ จึงทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม
และพระสงฆ์ จากนั้นอีก
๕ วันทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรแก่นักบวชทั้งห้ารูป
ทำให้ท่านเหล่านั้นได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
จึงทูลขอบวชตาม ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงประทาน เอหิภิกขุ ให้ด้วย
พระองค์เอง ซึ่งการบวชของท่านเหล่านั้น
เราเรียกว่า การอุปสมบท
|
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |