"ทรงเสี่ยงพระบารมีลอยถาด"

เมื่อเสวยมธุปายาสทั้ง ๔๙ ปั้นแล้ว พระบรมโพธิสัตว์ทรงถือถาดทองเสด็จไปสู่แม่น้ำเนรัญชรา ครั้นถึงหาดทรายชายน้ำ พระองค์จึงประทับนั่งคุกพระชานุ คือ นั่งคุกเข่า พระหัตถ์ซ้ายยันที่พระเพลาเบื้องซ้ายเพื่อค้ำกายไว้มั่น พระหัตถ์ขวาทรงถือถาดยื่นออกไปข้างหน้าวางลงบนกระแสน้ำ ตั้งพระหฤทัยอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า
           
    
“ถ้าจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
      ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำไปเถิด
      แม้นว่ามิได้สำเร็จสมประสงค์
      ขอให้ถาดลอยล่องไปตามกระแสน้ำ”


แล้วทรงปล่อยถาดทองให้หลุดจากพระหัตถ์

"ถาดทองลงสู่นาคพิภพ"

ในบัดนั้นถาดทองก็ได้เลื่อนลอยทวนกระแสชลทีขึ้นไปไกลประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลงสู่นาคพิภพ กระทบกับถาดอันเป็นพุทธบริโภคแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ในอดีต
   
ซึ่งในภัทรกัป คือ กัปอันเจริญ ได้แก่กัปปัจจุบันจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้รวม  ๕ พระองค์ได้แก่

๑.  พระกกุสันธพุทธเจ้า
๒. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
๓.  พระกัสสปพุทธเจ้า
๔.  พระโคตมหรือพระสมณโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
๕.  พระศรีอาริยพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาล         

ฝ่ายพญานาคราช ครั้นได้ยินเสียงถาดกระทบกันก็ตื่นจากบรรทมเสด็จลุกขึ้นดำรัสว่า
     
     “วันวานนี้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง
      บัดนี้ได้บังเกิดอีกพระองค์หนึ่งแล้ว”


แปลความนัยได้ประการหนึ่งว่าเพิ่งจะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปเมื่อไม่นานมานี้ หมายถึงพระกัสสปพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓  นี่กำลังจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเกิดขึ้นอีกแล้วหนอ  ซึ่งหมายถึงพระสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

การอธิษฐานลอยถาดทอง แล้วถาดทองไหลทวนกระแสน้ำนั้น อีกนัยหนึ่ง คือ พระโพธิสัตว์ทรงตั้งสัตยาธิษฐานเพื่อการปฏิบัติทวนกระแสโลก ทวนกระแสแห่งกิเลสของโลก เพื่อเป็นการตัดกระแสโลก หรือความเป็นอยู่ทางโลกทั้งหมดทั้งสิ้น