"ทรงเปล่งพระวาจา
อธิฐานเพศบรรพชิต"


เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกบิลพัสดุ์แล้ว จึงเสด็จลงจากหลังอัศวราชประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ทรงรับสั่งแก่นายฉันนะว่า
       
     “เราจักบรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิต ณ ที่นี้
       เจ้าจงนำเครื่องประดับกับม้ากัณฐกะกลับพระนครเถิด”


พระองค์ทรงเปลื้องผ้าเครื่องประดับสำหรับขัตติยราชส่งให้นายฉันนะ ตั้งพระทัยปรารถนาจะ บรรพชาเปล่งพระวาจา

      “สาธุ โข ปพฺพชฺชา” การบวชดีนักแล


ทรงดำริว่า “พระเกศานี้ไม่สมควร แก่สมณะ”

จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลีให้ขาด ออกด้วยพระองค์เอง บนพระเศียรพระเกศาก็ปรากฏยาวประมาณสององคุลี ม้วนกลมเป็นทักขิณาวัฏ คือ เวียนขวา ทุก ๆ เส้น และคงอยู่อย่างนั้นตราบถึงปรินิพพาน ทรงตั้งจิตอธิษฐาน

     “หากเราได้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้จุกพระเกศานี้
       ประดิษฐานอยู่กลางอากาศเถิดอย่าได้ตกลงมา
       แม้นมิได้ตรัสรู้ สมความประสงค์ขอให้พระเมาลีตกลงสู่พื้นพสุธา”


แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศสูงประมาณหนึ่งโยชน์ สมเด็จอมรินทราธิราช หรือ “พระอินทร์” ได้นำผอบแก้วอันมีสัณฐานสูงหนึ่งโยชน์ตั้งบนพระเศียรรองรับ พระเมาลี แล้วอัญเชิญไปบรรจุไว้ที่ “พระจุฬามณี”ในเทวโลกสถาน ซึ่งพระจุฬามณี คือ พระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ หรือผมของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ ณ ดาวดึงส์พิภพ และมหาพรหมนามว่า “ฆฏิกาพรหม” ได้อัญเชิญ “เครื่องอัฐบริขาร” หรือ สิ่งจำเป็นสำหรับบรรพชิต มาน้อมถวาย แล้วนำพระภูษาที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ไปบรรจุไว้ ณ “ทุสเจดีย์” อันเป็นเจดีย์สูง ๑๒ โยชน์ในพรหมโลก 

เมื่อได้สำเร็จเป็นเพศบรรพชิตแล้ว ทรงตรัสสั่งให้นายฉันนะผู้ติดตามพร้อมม้ากัณฐกะ กลับไปแจ้งข่าวการเสด็จออกบวชแก่พระราชบิดา ม้ากัณฐกะอัศวราชเมื่อคล้อยหลัง ก็บังเกิดความโศกเศร้าจึงล้มลงขาดใจตาย ด้วยอนุภาพผลสวามิภักดิ์กตัญญูจึงไป จุติเป็น กัณฐก เทพบุตรในดาวดึงส์เทวโลก

เมื่อนายฉันทะมหาดเล็กกลับมากราบทูลเรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาเหล่าราชวงศ์ศากยะ จึงได้แต่เฝ้ารอคอยข่าวการตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบไป