"บุพนิมิต ๕ ประการ"


ครั้นพระโพธิสัตว์ทรงเห็นสถานะทั้ง ๕ มีครบบริบูรณ์แล้ว จึงทรงรับอาราธนาจากเหล่าเทวราช เหตุที่จะรู้ว่าพระโพธิสัตว์เทพใกล้จะจุตินั้น เพราะได้เกิด บุพนิมิต ๕ ประการ แก่พระองค์ คือ

      ๑. ทิพยบุปผาที่ประดับพระกายเหี่ยวแห้ง
      ๒. ทิพยภูษาทรงมีสีเศร้าหมอง
      ๓. พระเสโทไหลจากพระกัจฉะ (เหงื่อไหลออกจากรักแร้)
      ๔. พระสรีรกายปรากฏอาการชรา
      ๖. มีพระหทัยเป็นทุกข์เหนื่อยหน่ายจากเทวโลก ไม่ยินดีที่จะสถิตในทิพยอาสน์

  • ทิพยบุปผา ที่ประดับพระกายของพระโพธิสัตว์ เสตุเกตุเทพบุตร นั้นเหี่ยวแห้งลง ซึ่งความเป็นจริงนั้น ทิพยบุปผาที่ประดับพระกายนั้นนับแต่วันที่ทรงสิ้นชีพจากพระชาติ เป็นพระเวสสันดรแล้วมาอุบัติเกิด ณ แดนดุสิตสวรรค์นี้ จะไม่มีวันเหี่ยวแห้งได้เลยแต่ ณ กาลเมื่อจะจุตินั้นทิพยบุปผาประดับกายเหี่ยวแห้ง

  • ทิพยภูษา ที่ทรงสำหรับพระองค์นั้นก็เหมือนกัน นับแต่วันที่ทรงมาอุบัติเกิด ณ แดน ดุสิตสวรรค์นั้นจะไม่มีวันเศร้าหมอง แต่มาบัดนี้มีสีเศร้าหมองลง

  • พระเสโท คือเหงื่อมีอาการซ่านออกจากพระกัจฉะ(รักแร้) ซึ่งแต่เดิมนั้นพระโพธิสัตว์ที่จุติ อยู่ในแดนสวรรค์นั้นจะไม่มีพระเสโทซ่านออก เพราะธรรมดานั้นกายแห่งเทพยดานั้น ไม่รู้จักร้อนและหนาวไม่มีเหงื่อไคลเหมือนกายของมนุษย์ แต่มาบัดนี้เหงื่อไคลไหลออก จากพระกัจฉะของพระองค์

  • พระฉวีวรรณ มีอันเศร้าหมองทั่วพระวรกาย ปรากฏอาการชราภาพ ไม่งดงาม ซึ่งโดย ปกตินั้นสรีรกายของเทพเทวดานั้นจะปรากฏแต่ความผุดผ่องวิไลลักษณะเลิศอยู่เป็นนิจ

  • มีพระทัยเหนื่อยหน่ายจากเทวโลก ให้มีจิตกระวนกระวายเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโดยปกติเหล่าเทวดาในเทวโลกนั้นเมื่อเสวยสุขทิพยสมบัติในสวรรค์จะมีใจเหนื่อยหน่าย ก็หาไม่ จะมีก็แต่ความอภิรมณ์ในทิพยสมบัติตลอดเวลา แต่บัดนี้พระองค์ท่านมีพระทัยเหนื่อยหน่ายไม่เป็นสุข

เมื่อบุรพนิมิตที้ง ๕ ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ เสตุเกตุเทพบุตรเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นที่รู้กันของเหล่าเทพยดาว่า พระโพธิสัตว์ถึงเวลาใกล้จะจุติจึงมีบุรพนิมิต ทั้ง ๕ ประการปรากฏให้ เห็นดังนี้ ครั้นเห็นว่าอยู่ในสถานะอันสมควรแล้วจึงทรงรับคำทูลของท้าวมหาพรหม  แล้วจึงได้เสด็จจุติลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาเทวี พระมเหสีของ พระเจ้าสุทโธทนะ