"เหล่าเทวราชกราบทูล
อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์จุติ"


พระบรมโพธิสัตว์ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้บำเพ็ญบารมีโดยตั้งพระทัยว่าจะจุติไปบังเกิดในมนุษย์โลก เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ หรือผู้ที่พึงดัดหรืออบรมสั่งสอนได้

พระองค์ได้รับการกราบทูลอาราธนาอัญเชิญจากท้าวมหาพรหมและเทวราชซึ่งเป็น ตัวแทนหมู่มหาเทพในหมื่นโลกธาตุในสวรรค์ ได้เสด็จมาเฝ้าเพื่อทูลเชิญอาราธนาให้เสด็จลงไปจุติ ซึ่งพระบรมโพธิสัตว์ได้สถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๔ ชื่อว่า ตุสิตา หรือ ตุสิตะ หรือ ชั้นดุสิต ซึ่งแปลว่า ยินดีชื่นบาน คือมีปีติอยู่ด้วยสิริสมบัติของตน

พระโพธิสัตว์ทรงเป็นเทวราชปกครองทรงพระนามว่า “สันตุสิต” ซึ่ง พระโพธิสัตว์ผู้สร้างโพธิสมภาร ที่จะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ย่อมสถิตอยู่ในชั้นนี้ เทพในชั้นนี้เป็นผู้รู้บุญรู้ธรรม เพราะพระโพธิสัตว์ได้ทรงแสดงธรรมสั่งสอนเนืองๆ

สวรรค์ชั้นดุสิต มีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก มี ท้าวสันดุสิต ซึ่งบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นผู้ปกครองภพ ที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดุสิตอยู่สูงขึ้นไปจากยอดเขาสิเนรุ อยู่ในอากาศ เหนือสวรรค์ชั้นยามา ๔๒,๐๐๐ โยชน์ บนสวรรค์จะไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์ อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของ ต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดา วิมาน สวน สระ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีแต่ความสว่าง จึงไม่ต้องอาศัยดวงอาทิตย์

ลักษณะของสวรรค์ชั้นดุสิต จะไม่ได้กลมอย่างโลกมนุษย์ แต่จะกลมแบบราบ ถ้ามองจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป จะมองเห็นเป็นแสงสว่างนุ่มเนียนตา และถ้ามองจากสวรรค์ ชั้นดุสิตขึ้นไป ก็จะเห็นแสงสว่างนุ่มเนียนตาของสวรรค์ชั้นนิมมานรดี หรือถ้ามอง ลงไปที่ดาวดึงส์ก็จะเห็นว่า มีขนาดเล็กนิดเดียว เพราะสวรรค์ชั้นดุสิตใหญ่กว่า

โครงสร้างของสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานของท้าวสันดุสิต เป็นศูนย์กลางของสวรรค์ชั้นนี้ แล้วแบ่งออกเป็น ๔ เขต วนโดยรอบวิมานของท้าวสันดุสิต ดังนี้...

เขตที่ ๑. เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า
คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ซึ่งอยู่ชั้นในสุด

เขตที่ ๒. เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์
คือ พระโพธิสัตว์ ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วว่าจะได้เป็น พระพุทธเจ้า อย่างแน่นอน ซึ่งวงบุญพิเศษของผู้ที่มีมโนปณิธาน จะรื้อสัตว์ ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพานให้หมด จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ก็จะอยู่ในเขตนี้ด้วย

เขตที่ ๓. เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องสร้างบารมีอีกมาก

เขตที่ ๔. เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำกุศลมาก
และมีกำลังบุญมากพอที่จะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เป็นเขตทั่วไป นอกเหนือจาก ๓ เขตแรก

สวรรค์ชั้นดุสิต มีความพิเศษกว่าสวรรค์ชั้นอื่นอยู่หลายประการ หนึ่งในความพิเศษนั้นก็คือ เป็นที่อยู่ของเหล่าพระบรมโพธิสัตว์ ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตจำนวนมาก และเหล่าเทพบุตรที่สร้างบารมีเป็นพระสาวก เพื่อตามพระบรมโพธิสัตว์ลงมาตรัสรู้ในอนาคต

เหตุที่พระบรมโพธิสัตว์หรือบัณฑิตทั้งหลาย ปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ทั้งๆ ที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ มีข้อสังเกตอย่างน้อย ๓ ประการ คือ

  • พระโพธิสัตว์สามารถจุติลงมาได้ตามใจปรารถนา หมายความว่าโดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติหลายประการ เช่น หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มี จุติเพราะความโกรธก็มี แต่เหล่าพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ เมื่อจะจุติลงมาสร้างบารมี หรือมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะนั่งทำสมาธิ อธิษฐานจิต สามารถดับวูบลงมาเกิดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของชาวสวรรค์ชั้นอื่นๆ
  • เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้ มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ ล้วนแต่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ที่จะฝึกฝนตนเองและช่วยสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตเหมือนชาวสวรรค์ชั้นอื่น ๆ มักจะคบหาบัณฑิต พูดคุยสนทนาธรรมกันเพื่อความเบิกบานใจ และหมั่นไปฟังธรรมในวันพระ ซึ่งท่านท้าวสันดุสิตจะเป็นผู้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ ที่มีบุญบารมีมาก มาแสดงธรรมให้ฟัง
  • ขนาดอายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ คือ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อ ถ้ามีอายุขัยนานเกินไปจะทำให้เสียเวลา

พระนิยตโพธิสัตว์ "สันดุสิต" ได้ทรงเป็นพระโพธิสัตวประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ซึ่งกาลที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัตินั้น เหล่าเทวดาก็เกิดโกลาหล จึงได้พากันไปเฝ้าทูลอารธนาพระโพธิสัตว์ให้จุติลงไปตรัส และ ความโกลาหลอย่างขนานใหญ่ของเหล่า เทวดามีอยู่สามสมัย คือ
..สมัยเมื่อโลกจะวินาศ

..สมัยเมื่อพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น
 
..สมัยเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิจะเกิดขึ้น

ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะได้จุติในโลกก็จะเกิดความโกลาหลเช่นนี้

ท้าวมหาพรหมและเทวราชซึ่งเป็นตัวแทนหมู่มหาเทพในหมื่นโลกธาตุในสวรรค์ได้เสด็จมาเฝ้า เพื่อกราบอาธนาทูลเชิญพระโพธิสัตว์“สันตุสิต” ให้เสด็จลงไปจุติในภพใหม่โดยกราบทูลอาราธนาว่า

     “ข้าแต่ท่านผู้โพธิสัตว์ บารมีทั้ง ๑๐ ประการที่ได้ทรงบำเพ็ญไว้แล้วนั้น
      บัดนี้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ทั้งมิได้ปรารถนาทิพยสมบัติแห่งเทพและพรหม
      แต่ทรงบำเพ็ญมาด้วยปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ เพื่อการตรัสรู้
      เผยแผ่ธรรมสั่งสอนสัตว์ช่วยให้มวลหมู่เวไนยสัตว์ ให้พ้นทุกข์
      ข้าแต่ท่านพระโพธิสัตว์ ขณะนี้เป็นกาลเวลาและกาลสมัยที่ท่านผู้
      โพธิสัตว์จะได้ไปตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงทรงรับคำ
      ทูลอารธนาเถิด”