"ปัญจโกลาหล"


เมื่อพระบรมโพธิสัตว์มหาบุรุษ สร้างสมอบรมบารมีจนเต็มบริบูรณ์ที่เป็นบารมีหลักทั้ง ๑๐ ประการ แล้วนั้น ในพระชาติที่ถือกำเนิดเป็นพระมหาเวสสันดรนั้น ครั้นสิ้นพระชนมายุลงแล้ว จึงเสด็จจุติไปอุบัติเกิดเป็นพระสันดุสิตเทพบุตร หรือ พระเสตุเกตุเทพ บุตร ในภพดุสิตสวรรค์ดังความในเวรัญชกัณฑ์พระวินัยปิฏกว่า
   
   "เราตถาคตได้เป็นเทพบุตรมีนามว่า เสตุเกตุเทพบุตรในดุสิตพิภพนั้น" แล้ว ได้เสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ดุสิตเทวโลก อยู่จนครบกำหนดอายุในดุสิตเทวโลก คือ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งนับเป็นปีในมนุษยโลกของเรานี้ได้ ๕๗ โกฏิ กับอีก ๖ ล้านปีพอดี


เมื่อพระบรมโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติอยู่ในดุสิตพิภพมาจนครบ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ ครั้นใกล้กาลจะสิ้นพระชนมายุ คือเป็นเวลาอีกหนึ่งแสนปีในโลกเรานี้ กาลครั้งนั้น จึงบังเกิดอัศจรรย์ ซึ่งเรียกว่า พระพุทธโกลาหล ขึ้นตามประเพณี ซึ่งเป็นหนึ่งใน "ปัญจโกลาหล" ซึ่งมีทั้งหมด ๕ ประการ

ปัญจโกลาหล ๕ ประการ

  1. กัปปโกลาหล ได้แก่กาลเมื่อยังอยู่อีก ๑๐๐,๐๐๐ ปีจะสิ้นอายุกัป คือโลกจะถึงคราวพินาศลง ครานั้นจะมีเทพยดาหมู่หนึ่งซึ่งชื่อ โลกพยุหเทวดา นุ่งแดงห่มแดงสยายผมลงแล้วมายัง มนุษยโลกนี้ เดินร้องไห้ไป พลางป่าวประกาศทั่วไปทุกแหล่งหล้าว่า "ต่อแต่นี้ไปอีกแสนปีเท่านั้นเอง โลกจะถึงคราวพินาศ จะเกิดเพลิงประลัยเผาผลาญโลกนี้ ตั้งแต่แผ่นดินจนถึงแผ่นฟ้า ขอเราท่านทั้งหลายจงเร่งมีสติประกอบคุณความดี เพื่อประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน อย่าได้ประมาทเลย" เมื่อโลกพยุหเทพยดา มาป่าวประกาศเช่นนี้ ก็เกิดความโกลาหลขึ้น ความโกลาหลนี้ ชื่อว่า กัปปโกลาหล

  2. จักกวัตติโกลาหล ได้แก่กาลเมื่อท้าามหาพรหมมาป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์ว่า "ดูรา..ท่านทั้งหลาย จงเร่งอุสาหประกอบบุญกุศลเถิด บุญลาภทั้งหลายจะบังเกิดแก่ท่านทั้งปวง ทั้งนี้จะมีสมเด็จพระบรมจักรพรรดิราช จักมาอุบัติเกิดในโลกนี้ ท่านจะได้สั่งสอนเราทั้งสิ้นให้รู้ปฏิบัติในบุญกุศล ทางไปสวรรค์ จะทำให้ท่านทั้งหลายได้สวรรค์สมบัติ มนุษย์สมบัติ"
    เมื่อท้าวมหาพรหม ท่านมาร้องป่าวประกาศนี้ ก็เกิดโกลาหลขึ้น โกลาหลนี้ ชื่อว่า จักกวัตติโกลาหล


  3. มงคลโกลาหล
    ได้แก่กาลเมื่อท้าามหาพรหมสุทธาวาสมาป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์ว่า "ดูรา..ท่านทั้งหลาย ด้วยว่า สมเด็จพระสรรเพชญพุทธองค์ จักได้ทรงแสดงการอันเป็นมงคลแก่เราท่านทั้งปวงในไม่ช้านี้ ครานั้น เราท่านทั้งปวงจงตั้งใจอุสาหะอดทนประกอบสุจริตธรรมเถิด อย่าได้ประมาทเลย"
    เมื่อท้าวมหาพรหมสุทธาวาสมาป่าวประกาศ เช่นนี้จึงเกิดมีความโกลาหลขึ้นโกลาหลนี้
    ชื่อว่า มงคลโกลาหล


  4. โมเนยยโกลาหล
    ได้แก่กาลเมื่อเทพเจ้าทั้งหลายมาป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์ว่า "ดูรา..ท่านทั้งหลาย ด้วยว่า บัดนี้ท่านผู้เป็นสาวกแห่งพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งมีศรัทธาสามารถที่จะปฏิบัติในโมเนยยปฏิปทาอันอุกฤษฎ์นั้นจะพลันอุบัติเกิดขึ้นแล้ว เราท่านทั้งปวงจะได้พบเห็นดวงแก้ววิเศษ กล่าวคือ พระสาวกผู้ถือโมเนยยปฏิบัติเป็นแน่แท้ "เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายมาป่าวประกาศเช่นนี้ก็เกิดโกลาหลขึ้น ชื่อว่า โมเนยยโกลาหล


  5. พุทธโกลาหล
    ได้แก่กาลเวลาที่จะได้กล่าวถึงคือ กาลเมื่อท้าามหาพรหมอนาคามี ผู้วิเศษซึ่งสถิตอยู่ ณ สุทธาวาสพรหมโลก ประดับองค์ทรงเครื่องพรหมาภรณ์อันเป็นทิพย์ลงมาป่าวประกาศทั่วโลกธาตุ แล้วป่าวประกาศเป็นพุทธโกลาหลว่า  "ดูรา..ท่านทั้งหลาย ด้วยว่า เราทั้งปวงนี้มัจจุภัย่อมเบียดเบียนบีฑาให้แสนยากลำบากาย อวิชชา ตัณหา ฉุดคร่าพาให้เวียนว่ายอยู่ในกำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ เป็นเวลาช้านาน นับชาติไม่ถ้วน ครั้งนี้ชาวเราจะได้ที่พึ่งเอาตัวรอดได้ด้วยเบื้องหน้า แต่นี้ไป อีกหนึ่งแสนปี สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้าสัพพัญญูจะได้มาอุบัติเกิดในมนุษยโลกนี้ แม้นท่านทั้งปวงปรารถนาเห็น จะพบพระพุทธเจ้าแล้ว ไซร้ก็จงขวน ขวายเว้นเสียจากเวรภัย ทั้ง ๕ ประการ คือ อย่าได้กระทำ ปาณาติบาตเป็นต้น จงเร่งบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา จึงจะได้มีโอกาสพบเห็น สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า"
    เมื่อท้าวมหาพรหมสุทธาวาสพรหมโลก ลงมาป่าวประกาศทั่วโลกธาตุเช่นนี้ ก็เกิดโกลาหลขึ้น โกลาหลนี้ ชื่อว่า พุทธโกลาหล

    นี่จึงเป็น พุทธโกลาหล ของหมื่นโลกธาตุ ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหมภูมิ อันเป็นเหตุของความโกลาหลเมื่อพระบรมโพธิสัตว์จะลงมาจุติเพื่อตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัม โพธิญาณ