"ชมพูทวีป"
ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลาย ๆ คน
เข้าใจ ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ดังนี้
ที่อยู่ของมนุษย์ หรือ มนุสสภูมิ นั้น อยู่บนพื้นดิน (หรือเรียกว่า ดาวเคราะห์) ลอยอยู่ กลางอากาศ ในระดับเดียวกับไหล่เขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่ในทิศทั้ง ๔ ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล (หรือทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียก กาแล็กซี่)ผืนแผ่นดินใหญ่ (ดาวเคราะห์)ทั้ง ๔ ที่ลอยอยู่ในทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ทวีป
มีชื่อและที่ตั้ง ดังนี้
- ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ
- อมรโคยานทวึป(อปรโคยานทวีป) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ
- ชมพูทวีป(โลกมนุษย์ที่เราอยู่) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ
- อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ
ชมพูทวีป
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
- มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้า และมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
- มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี
(อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
- มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
- สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรม
เสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง
- ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น
และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน
- ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า
"ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก"ชมพู"
เรื่องของชมพูทวีป
เหตุที่เรียกชื่อดังนี้ เพราะทวีปนี้มีไม้หว้าเป็นพญาไม้ประจำทวีป
(ต้นชมพู แปลว่า ต้นหว้า) ไม้หว้าต้นนี้อยู่ในป่าหิมพานต์ ลำต้นวัดโดยรอบ ๑๕ โยชน์ จากโคนถึงยอดสูงสุด ๑๐๐ โยชน์ จากโคนถึงค่าคบสูง ๕๐ โยชน์ ที่ค่าคบมีกิ่งทอดออกไปในทิศทั้ง ๔ แต่ละกิ่งยาว ๕๐ โยชน์ วัดจากโคนต้นไปทางทิศไหนก็จะสูงเท่ากับความยาวในแต่ละทิศ คือ ๑๐๐ โยชน์ ใต้กิ่งหว้าทั้ง ๔ นั้น เป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านไปในทิศทั้งหลาย ผลหว้ามีกลิ่นหอม รสหวานปานน้ำผึ้ง หมู่นกทั้งหลายชวนกันมากินผลหว้าสุกนั้น บางทีผลสุกก็หล่นลงตามฝั่งแม่น้ำ แล้วงอกออกเป็นเนื้อทอง และถูกน้ำพัดออกไปจมลงในมหาสมุทร เรียกทองนั้นว่า ทองชมพูนุท เพราะอาศัยเกิดมาจาก ชมพูนที
ความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทวีปทั้ง ๓ ยกเว้นชมพูทวีป มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะ ทำให้อาหารการกิน และน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนเหมือนอย่างในชมพูทวีป ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ใน ๓ ทวีป มีศีลธรรมที่เป็นปกติ สม่ำเสมอ ส่วนมนุษย์ในชมพู-ทวีป มีความเป็นอยู่ที่แตก
ต่างกันมาก บางคนสุขสบาย บางคนลำบาก บางคนปานกลาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำ ของแต่ละคน หรือบาป-บุญกุศล-บารมี ที่ได้สั่งสมไว้
แต่ละยุคในชมพูทวีป อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในชมพูทวีป มีความแตกต่างกัน
มากที่สุดก็ว่าได้
ลักษณะสังคมของชมพูทวีปสมัยพุทธกาล
การศึกษาพุทธประวัติ ควรเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะสังคมของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล พอสังเขป เพื่อความเข้าใจและสามารถจะจำเนื้อหา ตลอดจนสถานที่ตั้งของเมือง
ต่าง ๆ รวมทั้งชื่อกษัตริย์ผู้ปกครองแต่ละแคว้นได้โดยไม่สับสน และเมื่อคนส่วนมาก
นึกถึงพระพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้า ก็จะนึกถึงประเทศอินเดีย เป็นส่วนใหญ่
ในฐานะที่เป็นดินแดนที่เป็นจุดกำเนิดของพระพุทธเจ้า
แต่ตามภูมิศาสตร์ในสมัยพุทธกาลนั้นยังไม่มีการแบ่งแยกดินแดน เหล่านี้เป็นประเทศ อินเดีย เนปาล หรือประเทศใด แต่รวมเรียกดินแดนส่วนนี้ว่าเป็น ชมพูทวีป
ชมพูทวีป หมายถึง อาณาบริเวณอันเป็นที่ตั้งของประเทศอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และบังกลาเทศในปัจจุบัน
๐ อินเดีย เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของชมพูทวีป
๐ ปากีสถาน เป็นพื้นที่แถบตะวันตกของชมพูทวีป
๐ เนปาล เป็นพื้นที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของชมพูทวีป
๐ บังกลาเทศ เป็นพื้นที่แถบตะวันออกของชมพูทวีป
ซึ่งชมพูทวีปหรืออินเดียในสมัยพุทธกาลนั้นมี ๑๖ นครรัฐและแคว้นเล็ก ๆ อีก ๕ แคว้น
- อังคะ
- มคธะ
- กาสี
- โกศล
|
- วัชชี
- มัลละ
- เจติ
- วังสะ
|
- กุรุ
- ปัญจาละ
- มัจฉะ
- สุรเสนะ
|
- อัสสกะ
- อวันตี
- คันธาระ
- กัมโพชะ
|
แคว้นเล็ก ๆ อีก ๕ แคว้นคือ สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และอังคุตตราปะ
แคว้นพระราชบิดาของพระพุทธองค์ก็อยู่ในแคว้นเล็ก ๆ นี้ อาณาจักรเหล่านี้ปกครอง ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พระราชามีอำนาจเด็ดขาดบ้าง ระบบ สามัคคีธรรม คือมีสภาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ระบบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะ เป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาถือกำเนิดในแผ่นดินอินเดีย
จึงควรจะได้ศึกษาภูมิหลังของอินเดียในยุคก่อนการกำเนิดของพุทธศาสนาพอสังเขป
ดังนี้
ชนชาติดั้งเดิมของอินเดีย
ชนชาติที่เชื่อกันว่า เป็นชนชาติดั่งเดิมของอินเดียคือ เผ่า
๐ ซานโตล (Santole)
๐ มุนดา (Mundas)
๐ โกลาเรีย (Kolaria)
๐ ตูเรเนียน (Turanians)
๐ ดราวิเดียน (Dravidians) คนพวกนี้เป็นพวกผิวดำจำพวกหนึ่ง ปัจจุบันยังพอมีหลงเหลืออยู่ที่รัฐพิหาร และเบงกอล ของอินเดีย
ในสมัยพุทธกาล คือสมัยที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ชมพูทวีปยังมิได้แบ่งเป็นประเทศต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้น หากแบ่งเป็น นครรัฐ หรือ แคว้น ต่าง ๆ เท่าที่พบหลักฐานปรากฏ มี ๒๑ แคว้น ดังน
แคว้น ๒๑ แคว้นในสมัยพุทธกาลของอินเดีย
แคว้นในอดีต |
เมืองหลวง |
ชื่อปัจจุบัน |
ที่ตั้งในปัจจุบัน |
ปกครองโดย |
๑. มคธ |
ราชคฤห์ |
ราชคีระ |
มณฑลพิหาร |
พระเจ้าพิมพิสาร,
พระเจ้าอชาตศัตรู |
๒. โกศล |
สาวัตถี |
สะเหตมะเหต |
มณฑลโอธ |
พระเจ้ามหาโกศล,
พระเจ้าปเสนทิโกศล |
๓. วัชชี |
เวสาลี-
ไพศาลี |
เบสาร์ |
บนฝั่งตะวันออก
ของแม่น้ำคันธกะ |
มีการปกครอง
แบบสามัคคีธรรม |
๔. วังสะ |
โกสัมพี |
อัลลาฮาบัด |
ใต้แม่น้ำยมุนา |
พระเจ้าอุเทน |
๕. อวันตี |
อุชเชนี |
อุชเชน |
ทางตะวันออก
เฉียงเหนือ
ของแคว้นอัสสกะ |
พระเจ้า
จัณฑปัตโชติ
|
๖. สักกะ |
กบิลพัสดุ์ |
รัมมินเด |
แขวงเปชวาว์
เขตประเทศเนปาล |
- |
๗. โกลิยะ |
เทวทหะ หรือ
รามคาม |
- |
เขตประเทศเนปาล |
ราชวงศ์โกลิยะ |
๘. มัลละ
|
กุสินารา
(กุสาวดี) |
กาเซีย
|
บริเวณที่แม่น้ำ
คันธกะบรรจบกัน
|
พระพุทธเจ้าปรินิพพาน
ที่แคว้นนี้ภายหลัง
แยกเป็นกุสินารา กับ
ปาวาชื่อเดิมคือ กุสาวดี |
๙. กาสี |
พาราณสี |
เบนาเรส |
บริเวณแม่น้ำคงคา
กับแม่น้ำยมุนา
บรรจบกัน |
- |
๑๐. คันธาระ |
ตักกสิลา |
- |
ลุ่มแม่น้ำสินธุตอนบน |
- |
๑๑. อังคะ |
จัมปา |
ภคัลปรุ |
มณฑลเบงกอล |
- |
๑๒. เจติ |
โสตถิวดี |
- |
ถัดจากแคว้นอวันตี
ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ |
-
- |
๑๓. กุรุ |
อันทปัตถ์ |
- |
มลฑลปัญจาบ |
- |
๑๔. ปัญจาละ |
กัมปิลละ |
- |
มลฑลอัครา |
- |
๑๕. กัมโพชะ |
ทวารกะ |
|
ใต้แคว้นคันธาระ |
- |
๑๖. มัจฉะ |
สาคละ |
- |
ระหว่างแม่น้ำสินธุกับ
แม่น้ำยมุนาตอนบน |
- |
๑๗. สุรเสนะ |
มถุระ |
มัตตรา |
ระหว่างแม่น้ำสินธุกับ
แม่น้ำยมุนาตอนล่าง |
- |
๑๘. อัสสกะ |
โปตลิ |
- |
ลุ่มแม่น้ำโคธาวารี |
- |
๑๙. ภัคคะ |
สุสุงมารคีระ |
- |
- |
- |
๒๐. วิเทหะ |
มิถิลา |
- |
- |
- |
๒๑.อังคุตตราปะ |
อาปณะ |
- |
- |
- |
|