"สุเมธพราหมณ์"

่ในสมัยของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรรเพชญทีปังกร
พุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์เจ้าได้จุติมาเกิดเป็นพราหมณ์
มาณพหนุ่มนามว่า “สุเมธพราหมณ์” หรือ “สุเมธดาบส”

“สุเมธพราหมณ์”
เป็นผู้มีทรัพย์มหาศาลหลายโกฏิ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์ รู้แจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ ซึ่งวันหนึ่งนั่งอยู่ในห้องทีสงัดรโหฐาน ก็รำพึงขึ้นด้วย
ปัญญาว่า

     “ขึ้นชื่อว่า การก่อภพ กำเนิดเกิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้ ย่อมมีกองทุกข์
     ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่งแม้เมื่อชีพแตกกายทำลายลง ก็เป็นทุกข์ถึง      ที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะ
     ก่อชาติกำเนิด ชาติก่อให้เกิดชรา ชราก่อให้เกิดพยาธิมรณะ เมื่อชาติ
     ชรา พยาธิ มรณะ มีขึ้นมาได้แล้ว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความ
     ตาย ย่อมมีเป็นแน่แท้ ควรที่เราจะแสวงหาความดับชาติ ชรา พยาธิ
     มรณะนั้น ให้จงได้ พึงหาทางออก ไม่เกิดเสียเลยจะดีกว่า”


พระสุเมธดาบส ดำรงอยู่ในฌานสมาบัติจนเพลิดเพลิน โดยหารู้ไม่ว่ากาลบัดนั้น “สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า” ได้มาตรัสรู้แล้วในโลก เพราะโดยวิสัยของผู้ได้ฌานสมาบัติย่อมรู้เห็นซึ่งนิมิตในกาลทั้ง ๔ ก่อน คือ

       กาลเมื่อผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาปฏิสนธิ ๑
     ๐  กาลเมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ ๑
       กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑
       กาลเมื่อทรงประทานพระธรรมจักรปฐมเทศนา ๑

ซึ่งสุเมธดาบสมิได้รู้ในกาลสำคัญนี้เพราะเจริญอยู่ในฌานสมาบัติจึงมิได้ใฝ่ใจรู้เห็น
ซึ่งเหตุอื่นใดเลย

ในลำดับนั้น พระสุเมธดาบส ได้เหาะเหินขึ้นไปบนอากาศด้วยฤทธิ์แห่งตนก็ได้มองเห็น
มหาชน จำนวนมหาศาลได้ช่วยกันถากถางถนนหนทางเป็นการโกลาหลอลม่านไป
หมด เพื่อเตรียมการต้อนรับการเสด็จมาของสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า พระสุเมธ ดาบสเห็น ดังนั้นก็ได้ลงไปไต่ถาม ก็ได้คำตอบว่า “สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า” ได้มาอุบัติ ตรัสรู้แล้ว และจะพาเหล่าพระสงฆ์ อริยะสาวกเสด็จดำเนินผ่านมาทางเมืองนี้ เหล่าประชาชน ต่างก็ช่วยกันถากถางถนนหนทางถวายเพื่อรับเสด็จ พระสุเมธดาบส จึงคิดคำนึงด้วยความปิติล้นพ้นที่จะได้มีโอกาสทำหนทางบ้างจึงได้ขอทำหนทาง
ถวาย ฝ่ายมหาชนเมื่อเห็นว่าพระสุเมธดาบสนั้นเป็นพระฤาษีผู้มีฤทธิ์เหาะมากลาง
อากาศได้เช่นนั้น ก็ชี้ให้ไปทำทางทีแสนยากเพราะเป็นโคลนเลน ท่านขนดินถมโคลน เลนอยู่นานหลาย เพลายังไม่เสร็จดี สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระ
อริยะสงฆ์ สาวกก็เสด็จมาถึง ซึ่งในกาลนั้นพระสุเมธดาบสก็มีจิตเบิกบานอธิษฐานอุทิศ
ชีวิตถวายแด่ พระพุทธองค์ จึงปลดเปลื้องชฏา สยายเกสาลง ลาดผ้าปูลงกับพื้น
ดินโคลน ที่ยังถมไม่ทันเสร็จ ใช้หนังเสือรองลงไป แล้วทอดกายนอนคว่ำหน้า
ลงกับพื้นถนนที่ยังถมขาดอยู่ พลันตั้งจิตอธิษฐานว่า

     “ขออาราธนาพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณา พาพระขีณาสาวก
     สงฆ์ทั้งหลายเสด็จทางย่างพระบาทดำเนินไปบนกายแห่งข้าพระบาท
     นี้เถิด จะได้เกิดเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ข้าพระบาท พระองค์อย่า
     ได้ย่างพระบาท หลีกลงเลียบลุยเลนเหลวนี้เลย”


ครานั้น สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเสด็จมาถึง จึงเสด็จสถิตอยู่
ณ เบื้องเศียรเกล้าแห่งพระสุเมธดาบสฤาษีนั้น ครั้นทรงพิจารณาดูด้วยพระสัพพัญ
ญุตญาณแล้วก็พลันมีพระพุทธฏีกา ตรัสแก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลายในที่นั้นว่า

     “ถ้าท่านทั้งหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรม ไม่ได้บรรลุมรรคผลธรรมวิเศษ
      ในศาสนาของเรานี้แล้ว และยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพสงสาร  นานไปใน
       อนาคตกาลเบื้องหน้า    ก็จงปรารถนาให้ได้บรรลุในศาสนาของดาบสนี้เถิด
      ต่อไป ดาบสผู้นี้ จักได้อุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลก   ทรงพระ
      นามว่า ‘สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม’ ในระยะเวลาอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่ง
      แสนมหากัป นับแต่กัปนี้เป็นต้นไป ในกรณีนี้ย่อมเปรียบเหมือนบุรุษที่ว่าย
      ข้ามมหานทีถึงจะคลาดเคลื่อนจากท่าเหนือนี้ข้ามขึ้นไม่ได้แล้วไซร้  ก็คงจะ
      ข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำต่ำลงไปอีกเป็นแน่แท้ฉันใด   เมื่อท่านทั้ง
      หลายแม้คลาดจากศาสนาของเรานี้แล้ว หากมีวาสนาก็คงจะได้สำเร็จ
      ในศาสนาของพระพุทธางกูรเจ้าดาบสนี้ ในอนาคตกาลฉะนั้น”  

ซึ่งในการบำเพ็ญพระบารมีของพระโพธิสัตว์ "สุเมธดาบส" นี้ เป็นการบำเพ็ญ
พระบารมีในตอนปลายของพระโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งจะต้องบำเพ็ญอยู่ในวัฏสังสารอีก ๔ อสงไขยกับเศษหนึ่งแสนมหากัป