"การสร้างพระบารมีตอนปลาย"


การสร้างพระบารมีตอนปลายของพระโพธิสัตว์เจ้านั้น พระองค์ยังทรงต้องสร้าง
พระบารมีเป็นเวลาอีก ๔ อสงไขยกับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป ซึ่งการสร้าง
พระบารมีตอนปลายนี้พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงพบกับพระพุทธเจ้าและได้รับคำ พยากรณ์จาก สำนักของสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่พระองค์ได้ทรงพบดังนี้

  1. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎตัณหังกรพุทธเจ้า
  2. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเมธังกรพุทธเจ้า
  3. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า
  4. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า

ในพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์แรกนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของเราได้เกิดและพบทุกพระองค์
แต่เนื่องจากพระบารมียังไม่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ดีจึงยังไม่ได้รับคำพยากรณ์ยืนยัน ซึ่งใน
ครั้งนั้นพระองค์ทรงประสูติเป็นสตรี

                      

              "เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี"

ในพระชาติสุดท้ายที่ ๕๐๐ ที่ถือกำเนิดเป็นสตรีนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดเป็นขัตติย กุมารีธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

ในสมัยนั้น เป็นกัปที่ชื่อว่า “สารกัป” เพราะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว
ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งเป็น พระราชโอรสของพระเจ้าสุปปบุตามหาราช  จึงทรงเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดา
กับพระโพธิสัตว์เจ้าของเราที่เป็นกนิษฐาภคินี คือ เจ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี

เมื่อสมเด็จพระปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกครั้งนั้น ยังหมู่มนุษย์และอาณาประชาราษฏร์รวมทั้งพระพุทธบิดาได้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก

วันหนึ่งเป็นเวลาเย็นค่ำ เจ้าหญิงสุมิตตาซึ่งประทับอยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗ ได้
ทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีกิริยาอาการอันสงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใสยิ่งนัก
ได้มายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูทวารวัง ก็ให้สงสัยยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็ก
ไปกราบเรียนถามท่านถึงสิ่งที่ประสงค์จะได้ในการบิณฑบาตนั้น ซึ่งก็ได้คำตอบว่า
พระผู้เป็นเจ้า ประสงค์จะบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อความทราบ ดังนั้นแล้วพระนางก็ทรงให้ กราบอาราธนาพระคุณเจ้าท่านเพื่อสอบถามว่า

     “พระผู้เป็นเจ้า ต้องประสงค์น้ำมันเอาไปเพื่อประโยชน์สิ่งใด”

พระคุณเจ้าได้ทูลว่า...
     “ขอถวายพระพร พระราชธิดา อาตมภาพโคจรบิณฑบาตน้ำมันได้เป็น
     อันมากแล้วก็แต่งประทีปมากมายนักหนา ทำสักการบูชาแด่องค์สมเด็จ      พระมิ่งมงกุฎปุราณทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสิ้นราตรียังรุ่ง ครั้นเวลา
     สว่างแล้ว พระอริยสงฆ์สาวกมาประชุมกัน ณ สำนักแห่งสมเด็จพระบรมครู      อาตมภาพก็ตามประทีปบูชาพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายอีก
     ซึ่งอาตมาภาพเฝ้ากระทำอยู่เช่นนี้เสมอมา ขอถวายพระพร”


ครั้นพระราชธิดาได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสยินดีนักหนา จึงทรงถือเอาขัน
สุพรรณภาชน์ ยุรยาตรไปตักตวงน้ำมันพันธ์ผักกาดจนเต็มขัน แล้วก็ทูน
เหนือเศียรเกล้านำมาแล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า
     “สมเด็จพระเชษฐาธิราชของเรา ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จ
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่
     มวลสัตว์โลกเป็นอันมากฉันใด กาลนานไปเบื้องหน้า
     ขอจงข้าพเจ้าได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง
     เพื่ออนุกูลแก่สัตว์โลกฉันนั้นเถิด”

เมื่อทรงอธิษฐานดังนั้นแล้ว ก็ทรงนำสุพรรณภาชน์น้ำมันนั้นลงจากพระเศียรเกล้า แล้วก็รินลงในบาตรของพระคุณเจ้าจนเต็มบาตร พร้อมกับทรงตั้งมโนปณิธานว่า
     “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ..  ด้วยเดชะอานิสงส์ผลเตลทานนี้
     ขอจงเป็นปัจจัย ให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าสำเร็จ
     ดังมโนรถเถิดพระคุณเจ้าท่าน ขอพระคุณเจ้าจงเอาน้ำมันนี้
     ไปบูชาองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธรรมิกราชซึ่งตรัสเป็น
      องค์พระสัพพัญญูของข้าพเจ้าแล้ว ขอพระคุณท่านจงมีจิตการุณ
      ช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระราชบุตรี กนิษฐาภคินี
      ขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้านี้ ซึ่งมีนามว่า “สุมิตตากุมารี”
     
 มีกมลประสาทโสมนัสศรัทธายิ่งนัก ขอน้อมพระเกศถวายอภิวาท
      พระบาทยุคลสมเด็จพระทศพลญาณ และขอตั้งปณิธานปรารถนา
      ดังนี้ว่า “ด้วยเดชะอานิสงส์ผลทานนี้เป็นปัจจัย นานไปใน
      อนาคต จึงขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้
      ทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ เหมือนด้วยชื่อแห่งน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้
      ด้วยเถิด”

เมื่อพระคุณเจ้าได้รับน้ำมันมากมายนั้น ก็นำมาจุดประทีปบูชาให้สว่างกว่าเดิม ครั้นได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าปุราณทีปังกร ก็ได้กราบทูลว่า
      “ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันภคินีของพระองค์ถวายมาและพระนางเจ้า
     ได้ทำพุทธภูมิปณิธานว่า ด้วยเดชะผลทานที่ถวายด้วยใจเลื่อมใส
      ยิ่งนักนี้ขอความปรารถนาได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง
      ทรงพระนามว่า “สิทธัตถะ” ในอนาคต
       ข้าพระองค์ขอโอกาสกราบทูลถามว่า ความปรารถนาของ
      พระนางเจ้าจักสำเร็จหรือไม่พระเจ้าข้า”

      “ดูกรภิกษุ! บัดนี้ สุมิตตาราชกุมารีกนิษฐภคินีของเรานั้น
      เจ้ายังตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นสตรีเพศ จึงยังไม่สมควรที่จะได้รับ
      คำลัทธยาเทศพยากรณ์ก่อน”
     “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ ก็พระกนิษฐภคินี
      ของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ
      พระเจ้าข้า”


ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าปุราณทีปังกรจึงทรงพิจาณาดูในอดีตภาคก็ทรงทราบว่า พระกนิษฐาภคินีสุมิตตาเจ้าได้เคยมีพุทธภูมิปณิธานไว้แต่ครั้งเป็นมานพหนุ่มเข็ญใจ
แบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเป็นประเดิม  เมื่อทรงพิจารณาส่วนอนาคตก็ทรงทราบว่า พระน้องนางเจ้าอาจสำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิปณิธานได้ จึงทรงมีพระพุทธฏีกาว่า
     “ดูกรภิกษุ!  กาลข้างหน้าในอนาคตนับแต่นี้ไปอีก  ๑๖  อสงไขย
     เศษหนึ่งแสนมหากัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า      สมเด็จพระทีปังกร ซึ่งเป็นนามเสมอด้วยกับเรานี้ จักเสด็จมาอุบัติ
     ตรัสในโลก ในกาลนั้นแล สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจักได้กล่าว      พยากรณ์ซึ่งพระภคินีของเรา พระน้องนางจักได้รับลัทธยาเทศ
     ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
”

เมื่อได้รับคำพุทธฏีกาดังนั้น พระคุณเจ้าก็ได้นำไปบอกแก่เจ้าหญิงสุมิตตาให้ทราบ
ซึ่งในพระชาติ ที่ ๕๐๐ นี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้หมดวิบากกรรมจากการล่วงกาเม
สุมิฉาจารนั้น ล่วงภรรยาผู้อื่น ได้ใช้กรรมโดยเกิดเป็นหญิงชาติสุดท้าย ในการบำเพ็ญ
บารมีของพระพุทธเจ้าในระยะเริ่มแรก

แต่ในสมัยของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรรเพชญทีปังกร
พุทธเจ้านั้น พระโพธิสัตว์เจ้าได้จุติมาเกิดเป็นพราหมณ์

มาณพหนุ่มนามว่า “สุเมธพราหมณ์” หรือ “สุเมธดาบส”

                      

                 "สุเมธพราหมณ์"

“สุเมธพราหมณ์” เป็นผู้มีทรัพย์มหาศาลหลายโกฏิ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญใน
เชิงมนต์ รู้แจ้งในไตรเพทางคศาสตร์ ซึ่งวันหนึ่งนั่งอยู่ในห้องทีสงัดรโหฐาน ก็รำพึงขึ้น ด้วยปัญญาว่า

     “ขึ้นชื่อว่า การก่อภพ กำเนิดเกิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้
     ย่อมมีกองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่งแม้เมื่อชีพแตกกาย
     ทำลายลง ก็เป็นทุกข์ถึงที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพชาติใหม่      เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะก่อชาติกำเนิด ชาติก่อให้เกิดชรา
     ชราก่อให้เกิดพยาธิมรณะ เมื่อชาติ ชรา พยาธิ มรณะ มีขึ้น
     มาได้แล้ว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ย่อมมีเป็นแน่แท้
     ควรที่เราจะแสวงหาความดับชาติ ชรา พยาธิ มรณะนั้น
    ให้จงได้ พึงหาทางออก ไม่เกิดเสียเลยจะดีกว่า”


พระสุเมธดาบส ดำรงอยู่ในฌานสมาบัติจนเพลิดเพลิน โดยหารู้ไม่ว่ากาลบัดนั้น “สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า” ได้มาตรัสรู้แล้วในโลก เพราะโดยวิสัยของผู้ได้ฌานสมาบัติย่อมรู้เห็นซึ่งนิมิตในกาลทั้ง ๔ ก่อน คือ

       กาลเมื่อผู้ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาปฏิสนธิ ๑
     ๐  กาลเมื่อพระองค์ประสูติจากพระครรภ์ ๑
       กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑
       กาลเมื่อทรงประทานพระธรรมจักรปฐมเทศนา ๑

ซึ่งสุเมธดาบสมิได้รู้ในกาลสำคัญนี้เพราะเจริญอยู่ในฌานสมาบัติจึงมิได้ใฝ่ใจรู้เห็นซึ่ง
เหตุอื่นใดเลย

ในลำดับนั้น พระสุเมธดาบส ได้เหาะเหินขึ้นไปบนอากาศด้วยฤทธิ์แห่งตนก็ได้มองเห็น
มหาชนจำนวนมหาศาลได้ช่วยกันถากถางถนนหนทางเป็นการโกลาหลอลม่านไปหมด เพื่อเตรียมการต้อนรับการเสด็จมาของสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า พระสุเมธดาบสเห็น ดังนั้น ก็ได้ลงไปไต่ถาม ก็ได้คำตอบว่า “สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า” ได้มาอุบัติ ตรัสรู้แล้ว และจะพาเหล่าพระสงฆ์ อริยะสาวกเสด็จดำเนินผ่านมาทางเมืองนี้ เหล่า
ประชาชน ต่างก็ช่วยกันถากถางถนนหนทางถวายเพื่อรับเสด็จ พระสุเมธดาบส จึงคิด คำนึงด้วยความปิติล้นพ้นที่จะได้มีโอกาสทำหนทางบ้างจึงได้ขอทำหนทางถวาย ฝ่ายมหาชนเมื่อเห็นว่าพระสุเมธดาบสนั้นเป็นพระฤาษีผู้มีฤทธิ์เหาะมากลางอากาศ
ได้เช่นนั้น ก็ชี้ให้ไปทำทางทีแสนยากเพราะเป็นโคลนเลน ท่านขนดินถมโคลนเลน
อยู่นานหลาย เพลายังไม่เสร็จดี สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระอริยะ สงฆ์สาวกก็เสด็จมาถึงซึ่งในกาลนั้นพระสุเมธดาบสก็มีจิตเบิกบานอธิษฐาน อุทิศชีวิต ถวายแด๋พระพุทธองค์ จึงปลดเปลื้องชฏาสยายเกสาลง ลาดผ้าปูลงกับพื้นดินโคลนที่ ยังถมไม่ทันเสร็จ ใช้หนังเสือรองลงไป แล้วทอดกายนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นถนนที่ยัง
ถมขาดอยู่ พลันตั้งจิตอธิษฐานว่า

     “ขออาราธนาพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณา พาพระขีณาสาวกสงฆ์      ทั้งหลายเสด็จทางย่างพระบาทดำเนินไปบนกายแห่งข้าพระบาทนี้เถิด      จะได้เกิดเป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่ข้าพระบาท พระองค์อย่าได้ย่าง
    พระบาทหลีกลงเลียบลุยเลนเหลวนี้เลย”


ครานั้น สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเสด็จมาถึง จึงเสด็จสถิตอยู่
ณ เบื้องเศียรเกล้า แห่งพระสุเมธดาบสฤาษีนั้น ครั้นทรงพิจารณาดูด้วยพระ
สัพพัญญุตญาณแล้ว ก็พลันมีพระพุทธฏีกา ตรัสแก่ชาวประชาพุทธบริษัททั้งหลาย
ในที่นั้นว่า

     “ถ้าท่านทั้งหลาย แคล้วคลาดจากอมตธรรม ไม่ได้บรรลุมรรคผล
     ธรรมวิเศษในศาสนาของเรานี้แล้ว และยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพ
     สงสารนานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็จงปรารถนาให้ได้บรรลุ
    ในศาสนาของดาบสนี้เถิด ต่อไป ดาบสผู้นี้ จักได้อุบัติตรัสเป็น
     พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในโลก ทรงพระนามว่า ‘สมเด็จพระศรี
     ศากยมุนีโคดม’ ในระยะเวลาอีก ๔ อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป
     นับแต่กัปนี้เป็นต้นไป ในกรณีนี้ย่อมเปรียบเหมือนบุรุษที่ว่าย
     ข้ามมหานทีถึงจะคลาดเคลื่อนจากท่าเหนือนี้ข้ามขึ้นไม่ได้แล้วไซร้
     ก็คงจะข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำต่ำลงไปอีกเป็นแน่แท้ฉันใด
     เมื่อท่านทั้งหลายแม้คลาดจากศาสนาของเรานี้แล้ว หากมีวาสนา
     ก็คงจะได้สำเร็จในศาสนาของพระพุทธา กูรเจ้าดาบสนี้
     ในอนาคตกาลฉะนั้น”  

ซึ่งในการบำเพ็ญพระบารมีของพระโพธิสัตว์ "สุเมธดาบส" นี้ เป็นการบำเพ็ญ
พระบารมีในตอนปลายของพระโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งจะต้องบำเพ็ญ อยู่ในวัฏสังสารอีก
๔ อสงไขยกับเศษหนึ่งแสนมหากัป