"การสร้างพระบารมีเริ่มแรก"
ซึ่งในการสร้างพระบารมีเริ่มแรกนี้ จะยกตัวอย่างการจุติของพระโพธิสัตว์เจ้าที่ทรงได้ จุติเป็นมนุษย์และเวียนว่ายอยู่ในวัฏสังสารเนิ่นนาน ซึ่งได้กระทำกุศลกรรมและ
อกุศลกรรมต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมากมาย ซึ่งจะนำตัวอย่างของการจุติเป็นมนุษย์ใน
แต่ละช่วงเวลาเพื่อให้ได้ศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจถึง กุศล และ อกุศล ที่ส่งผลถึงการเสวยผลกรรมดีและไม่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ดังนี้
- บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ
- บุรุษหนุ่มนายช่างทอง
- เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี
"บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ"
กาลครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็นบุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจ มีความยากจน
อย่างหนัก เมื่อถึงกาลเจริญวัยเป็นมานพหนุ่มแล้วบิดามารดาก็คิดจะปลูกฝังให้
ออกเรือน
แต่ด้วยความยากจนแร้นแค้นทำให้บุรุษหนุ่มต้องเรียนให้บิดามารดา
ทราบว่า
ทรัพย์ในเรือนตนก็หาสิ่งมีค่าอันใดไม่ การจะออกเรือนจึงเป็นสิ่งยาก
ลำบาก สู้ขออุตส่าห์อยู่เลี้ยงดูบิดามารดาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ยังจะเป็นประโยชน์
กว่าจนเมื่อบิดาท่านถึงแก่กาลกิริยาตายไป นับแต่นั้นมาบุรุษหนุ่มก็คอยอุปัฏฐาก
บำรุงเลี้ยงมารดาเป็นกิจวัตรตลอดมา
ในวันหนึ่ง บุรุษหนุ่มผู้ยากไร้ได้ไปเที่ยวเสาะแสวงหาฟืนหาผักในป่า นำกลับมา
ระหว่างทางให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อนจึงแวะเข้านั่งพักยังริมฝั่งน้ำใกล้ท่าเรือสำเภา
พอเห็นเรือสำเภาก็ให้นึกในใจว่า ตนนั้นยังหนุ่มแน่นมีกำลังแข็งแรง หากตนจะสมัคร เป็นคนงานเดินทางไปกับเรือสำเภาเหล่านี้ก็น่าจะดีคงจะทำให้มีรายได้มาเลี้ยงด
ูมารดาได้ไม่ลำบาก ครั้นคิดได้ดังนั้นแล้วก็ได้เข้าไปหานายเรือสำเภาใหญ่แล้ว
กล่าวขึ้นว่า
ข้าแต่นายท่าน กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าถึงซึ่งความยากจนเข็ญใจนัก
จึงเซซังมาสู่สำนักท่านด้วยหวังใจว่า ถ้าท่านอนุเคราะห์ข้าพเจ้าได้
ข้าพเจ้าก็จักขอทำงานอยู่กับท่านด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป
นายสำเภาเรือครั้นได้ฟังวาจาดังนั้นก็พลันเกิดความสงสาร จึงตกลงใจอนุเคราะห์
รับไว้โดยไม่รังเกียจ ส่วนบุรุษหนุ่มเข็ญใจครั้นได้ฟังดังนั้นก็ให้เกิดความยินดีหนักหนา จึงขอลานายสำเภาเรือกลับไปบ้านเพื่อไปบอกเรื่องน่ายินดีนี้แก่มารดา พร้อมทั้งจะ
ได้เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปกับเรือสำเภา
ครั้นมารดาได้ทราบความดังนั้น จึงกล่าววาจาแก่ปิยบุตรว่า ดูกรพ่อปิยบุตร !
ทุกวันนี้ชีวิตของแม่ย่อมเนื่องอยู่ด้วยเจ้าผู้เป็นลูกรัก เพราะฉะนั้นเจ้าจะไปไหน
ก็ตามใจเถิด แต่ว่าขอให้แม่นี้ได้ไปกับเจ้า ได้อยู่ใกล้ ๆ เจ้าเสมอไปก็แล้วกัน
บุรุษหนุ่มเข็ญใจเมื่อได้ฟังคำมารดาดังนั้นก็ให้วิตกกังวลเป็นยิ่งนัก ไม่รู้จะทำเช่นไรดี สุดท้ายเมื่อคิดไม่ตกก็ได้ไปพบนายสำเภาเรือผู้ใจดีแล้วได้เล่าถึงปัญหาที่ตนกำลังมีอยู่ และได้อ้อนวอนขอนำมารดาแห่งตนตามไปกับเรือสำเภานั้นด้วย ซึ่งนายสำเภาเรือ เมื่อได้รู้ถึงปัญหาของมานพหนุ่มก็ออกปากอนุญาตให้นำมารดาติดตามไปด้วย
เมื่อเรือสำเภาแล่นไปในมหาสมุทรทะเลใหญ่ได้ประมาณ ๗ วัน สำเภานั้นต้องลมพายุ
ใหญ่เหลือกำลังก็ถึงซึ่งกาลอับปางลง บรรดาลูกเรือและนายสำเภาเรือต่างก็สิ้นชีวิตลง ฝ่ายมานพหนุ่มก็ตั้งสติมั่นกระโจนลงจากเรือสำเภาแล้วพยายามว่ายน้ำหนีเพื่อรักษา
ชีวิตตน ครั้นหันกลับไปเห็นมารดายังไม่ตายก็ว่ายน้ำกลับมารับมารดาให้นั่งบนบ่า
ของตนแล้วก็พาว่ายน้ำไปในมหาสมุทร ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาก็สู้อุตส่าห์อดทน กระเสือกกระสนต้านทานคลื่นใหญ่และน้ำทะเลเชี่ยวเค็มนั้น ด้วยน้ำใจอันเด็ดเดี่ยว
เพื่อจะนำมารดาไปให้รอดชีวิต
กล่าวฝ่ายท้าวสุทธาวาสมหาพรหมอนาคามี ซึ่งสถิตอยู่ ณ ชั้นอกนิษฐพรหมโลก
ที่คอยเพ่งแลดูหมู่มวลมนุษย์ผู้มีใจองอาจเต็มไปด้วยอุตสาหะใหญ่ใจกล้าหาญสามารถ ที่จะกระทำ พุทธการกธรรมได้ ครั้นทัศนาลงมาเห็นมานพหนุ่มเข็ญใจผู้อุตส่าห์ พยายามจะนำมารดาให้รอดชีวิตจากคลื่นลมโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยนั้น จึงควรนับว่า เป็นผู้สามารถเพื่อที่จะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้สำเร็จลุล่วงได้ เมื่อท้าว มหาพรหมคำนึงดังนี้แล้ว ก็เข้าดลจิตให้มานพหนุ่มเข็ญใจนั้นนึกปณิธานปรารถนา ซึ่งพระพุทธภูมิ
ฝ่ายมานพหนุ่มเข็ญใจผู้แบกมารดาไว้บนบ่า ก็ฝ่าคลื่นลมจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรง
จนร่างกายจมลงกลางทะเลใหญ่แล้วก็พยายามโผล่ขึ้นมาอีก จวนเจียนใกล้เวลานาที
อันเลวร้ายใกล้จะมรณะ ด้วยเดชะอำนาจแห่งน้ำพระหฤทัยที่ท้าวมหาพรหมผู้วิเศษ
ให้นึกนั้น ก็บังเกิดความคิดขึ้นมาว่า
ถ้าตัวเราถึงแก่ชีวิตพินาศขาดสูญลงไปในท้องมหาสมุทรทะเลใหญ่
พร้อมกับมารดา ณ กาลบัดนี้ขอกุศลที่เราแบกมารดาว่ายน้ำในมหา
สมุทรมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยนักหนานี้ จงเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่ง
พระโพธิญาณ ขอเราพึงอาจนำสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายในวัฏสงสาร
ให้ข้ามพ้นลุถึงฝั่งโน้น คือ อมตมหานิพพาน
ครั้นตั้งจิตคิดเป็นมหากุศลดังนี้แล้ว บุรุษหนุ่มผู้เข็ญใจนั้นก็ตั้งปณิธานซ้ำลงไปอีกว่า
เมื่อเราเปลื้องตนออกพ้นจากวัฏสงสารแล้ว ขอเราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย
ให้เปลื้องตนพ้นจากวัฏสงสารด้วยเถิด อนึ่ง..เมื่อเราข้ามจากวัฏสงสาร
ได้แล้ว ขอให้เราพึงนำสัตว์ทั้งหลาย ข้ามพ้นจากวัฏสงสารได้ด้วยเถิด
เมื่อนึกปณิธานดังนี้แล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ พละกำลังที่จวนจะหมดไปนั้น ก็พลันเกิดมี
ขึ้นมาอีกด้วยกำลังแห่งพรหมอนุเคราะห์ ภายในสองสามวันก็บรรลุถึงฝั่ง จึงไปอาศัย
ยังบ้านแห่งหนึ่งแล้วก็ทำมาหากินด้วยความเหนื่อยยากต่อไป จนถึงแก่กาลกิริยาสิ้น ชีวิตแล้วกุศลก็ส่งให้ไปบังเกิดในสุคติภูมิโลกสวรรค์
ชีวประวัติของบุรุษหนุ่มเข็ญใจนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดั้งเดิมเริ่มแรก
เพื่อต้องการพระพุทธภูมิขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดม พระองค์ทรงเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
"บุรุษหนุ่มนายช่างทอง"
หลังจากที่ได้อุบัติเกิดเป็นเทพบุตรในสรวงสวรรค์แล้ว ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วย
อำนาจแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร พระโพธิสัตว์เจ้าได้ถือกำเนิดเป็น
มานพหนุ่มที่ทรงรูปลักษณะงามล้ำเลิศในตระกูลช่างทอง ในวันหนึ่งได้มีคหบดี
เศรษฐีได้มาว่าจ้างให้ไปทำเครื่องประดับให้แก่่ธิดาสาวสวยซึ่งกำลังจะทำการ
วิวาห์ ครั้นไปถึงคฤหาสน์ท่านเศรษฐีก็ได้ถามว่า
ดูกรนายช่างทองผู้เจริญ ถ้าท่านได้เห็นเพียงมือและเท้าเท่านั้น
ท่านยังจะสามารถทำเครื่องประดับได้หรือไม่?
เมื่อช่างทองรับว่าทำได้ เศรษฐีจึงให้ธิดาของตนยื่นแต่มือและเท้ามาแสดงให้ปรากฏ ช่างทองหนุ่มก็กำหนดทำด้วยความชำนาญ
ฝ่ายธิดาเศรษฐีให้นึกสงสัยว่า
เหตุไฉนหนอ บิดาจึงมิให้เราปรากฏกายต่อหน้าช่างทอง
ให้แสดงแต่เพียงมือและเท้าเท่านั้น
ครั้นคิดดังนั้นก็ลอบแอบดูตามช่องไม้ พอได้เห็นสิริรูปสมบัติของบุรุษหนุ่มช่างทองก็
ให้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่เป็นกำลัง คลุ้มคลั่งในดวงใจด้วยอำนาจราคะดำกฤษณา
ธิดาสาวจึงมีจารึกอักษรเป็นใจความว่า
ดูกรพ่อช่างทองผู้เป็นที่รัก! หากท่านมีจิตใจรักใคร่เราแล้ว
ณ ด้านหลังเรือนใหญ่นี้มีต้นบุพชาติสูงใหญ่ต้นหนึ่ง
ในค่ำคืนนี้ท่านจงมานั่งซุ่มคอยท่าเราอยู่บนพุ่มคบไม้นั้นเถิด
ถึงราตรีกาลเราจะไปพบกับท่าน
บุรุษหนุ่มช่างทองครั้นได้รับจารึกนั้นก็กลับบ้านเตรียมตัวเพื่อจะพบกับนางในราตรีนั้น บุรุษช่างทองก็ไปนั่งคอยจนกระทั่งเผลอไผลหลับไป ฝ่ายธิดาเศรษฐีนั้นก็เฝ้าคอย จนบิดามารดาหลับเสียก่อนจึงจะแอบลงจากเรือนได้ แต่ก็เป็นเวลาดึกดื่นยิ่งนัก พอมา
พบชายหนุ่มตามนัดหมายก็ได้เห็นชายหนุ่มหลับใหลมิยอมตื่น และลัทธิสมัยนั้นให้ถือ
กันว่า ถ้าบุคคลหลับสนิทอยู่ ผู้ใดปลุกให้ลุกตื่นขึ้นแล้ว ผู้ปลุกนั้นย่อมมีบาป ตายไปต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดกาลกัปหนึ่ง เมื่อนางไม่สามารถปลุก
ช่างทองให้ตื่นขึ้นมาได้ นางจึงกลับไปในวันที่สองและสามนี้ก็เช่นกัน เมื่อบุรุษหนุ่ม
ช่างทองได้ไปทำงานยังบ้านเศรษฐี ก็ได้รับอักษรจารึกนัดหมายนั้นอีกเช่นเคย
ชายหนุ่มก็ได้ไปรอดังคืนที่ผ่านมารวมเป็นเวลา ๓ คืนด้วยกัน และชายหนุ่มก็
หลับใหลไม่รู้ตื่น
ในวันรุ่งขึ้นถึงวันวิวาห์มงคล ฝ่ายบิดาเจ้าบ่าวก็ได้นำสมบัติมหาศาลหลายร้อยเล่มเกวียน และได้ฉลองกันอยู่สิ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงเสร็จ บิดาเจ้าบ่าวก็พาบริวารกลับ
ฝ่ายบุรุษหนุ่มช่างทอง ก็ให้ครุ่นคิดมิตกด้วยเห็นว่าธิดานั้นควรจะเป็นของตนเพราะ
นางได้ผูกสมัครรักใคร่ที่ตน ตนจึงควรจะได้ครอบครองนาง คิดดังนั้นก็คิดหาอุบาย
โดยได้ทำเครื่องประดับประกอบไปด้วยแก้วมุกดาวิจิตรบรรจง แล้วนำไปถวายพระ
มหาอุปราชเจ้า
เมื่อพระมหาอุปราชได้รับของกำนัลอันเป็นที่ถูกใจ ก็ได้ตรัสถามนายช่างทอง ซึ่งก็ได้ ขอร้องให้พระมหาอุปราชช่วยในอุบายของตนโดยให้ตนปลอมตัวเป็นกนิษฐาภคินี
น้องหญิง แล้วก็ดำเนินอุบายไปยังบ้านท่านเศรษฐี เมื่อพระมหาอุปราชไปถึงก็ได้
ตรัสถามท่านเศรษฐีว่า
ปราสาทหลังใหม่นั่นเป็นของใครอีกเล่า
เป็นปราสาทแห่งธิดาของข้าพระพุทธเจ้า
ดีละ..บัดนี้พระบรมชนกดำรัสให้เราไปปราบโจรร้ายในชนบทประเทศ
เราจะขอฝากน้องหญิงแห่งเราไว้ให้อยู่กับธิดาท่านเป็นการชั่วคราว
ท่านเศรษฐีจึงว่า แต่ว่าธิดาเกล้ากระหม่อมนั้น นางได้สามีแล้ว
พระมหาอุปราชจึงตรัสว่า
จะเป็นไรไปเล่า
..ท่านจงให้ธิดาของท่านงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวก่อน
...ถ้ากระนั้นก็พอจะผ่อนผันรับพระธุระสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าข้า
นับแต่นั้นมานพหนุ่มช่างทองก็ได้อยู่ร่วมอภิรมย์กับธิดาเศรษฐีเป็นเวลานานสิ้นกำหนด
สามเดือน ด้วยพระโพธิสัตว์เจ้าพระบารมียังอ่อน จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถต้านทาน
อำนาจแห่งกิเลสนั้นได้ ประกอบโทษล่วงเกินภรรยาผู้อื่น เป็นกายทุจริตเช่นนี้ ครั้น
ดับขันธ์สิ้นชีวิตในครั้งนั้นแล้ว ก็ต้องสืบปฏิสนธิไปบังเกิดในนรกหมกไหม้ ต้องได้รับ
ทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายครั้งหลายหน เวียนวนอยู่ในภูมิอันต่ำช้านานนับเป็นเวลา
ได้ ๑๔ มหากัป
ด้วยอำนาจเศษกรรมยังตามให้ผลอยู่ไม่เสื่อมคลายไปง่าย ๆ ครั้นจุติจากนรกแล้ว
จึงต้องไปสืบปฏิสนธิถือกำเนิดเป็น ลา เป็นเวลา ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงไปเกิดเป็น
โค อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น คนพิการ ตาบอด หูหนวก อีกอย่างละ
๕๐๐ ชาติ แล้วก็ถือกำเนิดเป็น กะเทย อีก ๕๐๐ ชาติ แล้วจึงถือกำเนิดเป็น
สตรี อีก ๕๐๐ ชาติ
ในพระชาติสุดท้ายที่ ๕๐๐ ที่ถือกำเนิดเป็นสตรีนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดเป็นขัตติย กุมารีธิดาของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี
|