"บุคคล ๗ จำพวก"


วัฏสงสารซึ่งมีภัยใหญ่ อุปมาเหมือนแม่น้ำมหาสมุทรใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวนั้น อันสัตว์
บุคคล ๗ จำพวก ต้องท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด เดินทางไปในที่ต่าง ๆ อย่าง
เหน็ดเหนื่อย โดยไม่มีเวลาพักผ่อนเลย  บุคคล ๗ จำพวกนั้น มีปรากฏดังต่อไปนี้

  • บุคคลจำพวกที่ ๑  ได้แก่ นัตถิกวาท และ อกิรยวาท คือ บุคคลที่เชื่อว่าบาป
    ไม่มีบุญไม่มี ผลแห่งบุญและบาปไม่มี ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด กระทำแต่ความชั่วช้าเลวทราม เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไป ย่อมไปสู่ทุคติ มีกำเนิดเกิดในอบายภูมิชั้นต่ำหาความสุขไม่ได้ ต้องอยู่ในกำเนิดแห่งอบายภูมิ ๔
    ได้แก่ นิรยภูมิ หรือ โลกนรก, เปตติวิสยภูมิ หรือ โลกของเปรต,  อสูรกายภูมิ
    หรือ โลกของอสูรกาย และ ดิรัจฉานภูมิ หรือ โลกของสัตว์เดียรัจฉาน ซึ่งบุคคล
    ประเภทที่ ๑ นี้ มีชื่อเรียกว่า “ผู้จมลงคราวเดียวแล้วก็จมอยู่นั่นเอง”
  • บุคคลจำพวกที่ ๒ ได้แก่ บุคคลที่โชคดีกว่าจำพวกที่ ๑ คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ได้เล่าเรียนธรรมวินัย ได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
    และพระจตุราริยสัจอันเป็นธรรมวิเศษ แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็ได้แค่ฟัง เพราะเป็น ศรัทธาที่ไม่ตั้งมั่น คือ เป็นพวกศรัทธาหัวเต่า ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง มีศรัทธาแล้วก็กลับเสื่อมศรัทธา บุคคลบางจำพวกปฏิบัติบำเพ็ญตั้งมั่นจน ได้สำเร็จในฌานสมาบัติ แต่กลับประกอบกรรมไม่ดีในภายหลัง เช่น ในคัมภีร์อรรถกถาท่านยกพระเทวทัตต์เป็นตัวอย่าง บุคคลจำพวกนี้มีชื่อ
    เรียกว่า “ผู้โผล่ขึ้นมาแล้ว กลับจมลงไปอีก”
  • บุคคลจำพวกที่ ๓  ได้แก่ บุคคลที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
    ได้เล่าเรียนธรรมวินัย ได้สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา และพระจตุราริยสัจ อันเป็นธรรมวิเศษโดยปริยัติธรรม มีใจผ่องแผ้ว ประกอบด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ไม่ฝ่าฝืนพุทธฏีกา มีความพยายามปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ แต่เนื่องด้วยขาดวาสนา บารมีอันมิได้สั่งสมมา หรือไม่มีผู้ชี้นำทางที่ถูกต้อง จนถึงที่สุดก็ยังมิได้สำเร็จ ในธรรมวิเศษ ซึ่งบุคคลจำพวกนี้มีชื่อเรียกว่า “ผู้โผล่ขึ้นมา แล้วหยุดมองดู”
  • บุคคลจำพวกที่ ๔ ได้แก่ บุคคลที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
    มีใจผ่องแผ้ว ประกอบ ด้วยศรัทธาอันแรงกล้ามีปัญญาพิจารณาเห็นภัยใน
    วัฏสงสาร ใคร่รู้แจ้งแทงตลอดธรรมวิเศษ คือ พระจตุราริยสัจ เพื่อจะกำจัด
    อวิชชา อันเป็นตัวการพาให้หลงท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร มีความเพียรพยายาม ปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุพระโสดาปัตติมรรคญาณ ซึ่งเป็นการเห็นแจ้ง
    แทงตลอดพระจตุราริยสัจ กำจัดอวิชชาได้เป็นครั้งที่ ๑ ตกสู่กระแสพระนิพพาน
    ได้นามว่า “พระโสดาบันอริยบุคคล” แล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งบุคคล
    จำพวกนี้ มีชื่อเรียกว่า “ผู้โผล่ขึ้นมาแล้ว เหลียวมองเห็นฝั่ง”
  • บุคคลจำพวกที่ ๕ ได้แก่ บุคคลที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
    มีจิตศรัทธาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน จนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน อริยบุคคล
    แล้ว ก็ไม่ละความพยายาม มีความเพียรพยายามปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุ
    พระสกิทาคามิมรรคญาณ ซึ่งเป็นการเห็นแจ้งแทงตลอดพระจตุราริยสัจ กำจัด อวิชชาได้เป็นครั้งที่ ๒ จะกลับมาอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้นามว่า “พระสกิทาคามีอริยบุคคล” แล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้นไมสามารถสำเร็จได้ ในชาติปัจจุบัน ซึ่งบุคคลจำพวกนี้มีชื่อเรียกว่า “ผู้โผล่ขึ้นมาแล้ว พยายามว่ายข้ามไป”
  • บุคคลจำพวกที่ ๖ ได้แก่ บุคคลที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
    มีจิตศรัทธาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน จนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
    อริยบุคคลแล้ว ก็ไม่ละความพยายาม มีความเพียรพยายามปฏิบัติ
    จนกระทั่งได้เป็นพระสกิทาคามิอริยบุคคลตามลำดับ จนกระทั่งได้บรรลุ
    พระอนาคามิมรรคญาณ ซึ่งเป็นการเห็นแจ้งแทงตลอดพระจตุราริยสัจ
    กำจัดอวิชชาได้เป็นครั้งที่ ๓ ได้นามว่า “พระอนาคามีอริยบุคคล” ซึ่งจะ
    ไม่กลับมาสู่กามภพอีกเลยแล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ซึ่งบุคคลจำพวกนี้
    มีชื่อเรียกว่า “ผู้โผล่ขึ้นมาและว่ายไปถึงฝั่งที่ตื้นพอหยั่งได้แล้ว”
  • บุคคลจำพวกที่ ๗ ได้แก่ บุคคลที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
    มีจิตศรัทธาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน จนได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคล
    เบื้องต้นมาโดยลำดับ พอได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลแล้ว
    ก็ไม่ละความพยายาม มีความเพียรพยายามปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นจนกระทั่ง
    ได้บรรลุ พระอรหันตมรรคญาณ ซึ่งเป็นการเห็นแจ้งแทงตลอด
    พระจตุราริยสัจ กำจัดอวิชชาได้เป็นครั้งสุดท้าย ได้นามว่า
    “พระอรหันตอริยบุคคล” ซึ่งจะไม่กลับมาสู่กามภพอีกเลย เป็นบุคคลผู้
    ไกลจากกิเลส หมดกิจอยู่จบพรหมจรรย์ เมื่อถึงอายุขัยก็ดับขันธ์
    เคลื่อนเข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งพระอรหันตบุคคลเหล่านี้มีชื่อเรียก
    ตามอาการนี้ว่า “ผู้โผล่ขึ้นมาและว่ายไปถึงฝั่งแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย