"การณ์อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า"


การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้น  จะมีปรากฏขึ้นได้ในโลกแต่ละครั้งแต่ละหน
ย่อมเป็นไปโดยยาก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานจึงจะมีสมเด็จพระบรมศาสดา
สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสพระองค์หนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่จะมาตรัสเป็น
พระพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่เรียกว่า “วิสิฎฐบุคคล” คือ เป็นบุคคล
ที่พิเศษอย่างยิ่ง ได้สร้างสมอบรมบ่มบารมีมาเพื่อพระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
คือ เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ และพระบารมีนั้นได้อบรมบ่มบำเพ็ญมา
เป็นเวลานานหลายอสงไขย มหากัป จนถึงที่สุดแห่งพระบารมีที่เต็มเปี่ยมแห่งพระ
โพธิญาณ จึงจะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บรมโลกนาถ แล้วจึงทรงเมตตาประทานประโยชน์มหาศาลให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย
ด้วยการแนะนำให้รู้จักหนทางหลีกพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเป็นภัยใหญ่แห่งชีวิต

แต่ด้วยเพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาเข้าครอบงำ จึงทำให้ไม่สามารถหยั่งรู้ถึง
ความน่ากลัวแห่งภัยในวัฏสงสารนั้นได้ ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติตรัสรู้ขึ้น
ในโลกนี้แล้วได้ทรงพระเมตตาสั่งสอนให้มองเห็นภัยในวัฏสงสารนั้นแล้วปฏิบัติตาม
จนนำตนให้พ้นออกจากภัยใหญ่นั้นเข้าสู่แดนเกษมคือพระนิพพาน ดังนั้น “วิสิฎฐ บุคคล” เช่น พระพุทธเจ้านั้น จะมาปรากฏอุบัติขึ้นในโลกแต่ละพระองค์นั้นเป็นเรื่อง ยากเป็นอย่างยิ่ง ดังพระบรมพุทโธวาทที่ทรงแสดงไว้ว่า

    “การอุบัติบังเกิดขึ้น แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
      เป็นสิ่งที่หา ได้ยากในโลก
”


เมื่อพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมีจนครบถ้วนบริบูรณ์ครบกำหนดกาลเวลา
แห่งพระพุทธเจ้า ทั้ง ๓ ประเภทแล้ว จึงได้มีโอกาสตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านย่อมจุติลงมาอุบัติตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าในมนุษยโลก
เรานี้เท่านั้น จะไม่ไปอุบัติบังเกิดในโลกอื่น ๆ เช่น บนสวรรคเทวโลกทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็เพราะ ว่าเบื้องสวรรคเทวโลกนั้นมิได้เป็นที่ตั้งแห่งศาสนพรหมจรรย์ และการที่จะบำเพ็ญศาสน พรหมจรรย์และการบรรพชานี้ ย่อมเหมาะสมที่จะมีอยู่แต่ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น จะได้มี
ในสวรรคเทวโลกก็หาไม่  อีกประการหนึ่งนั้น หากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง บังเกิดเป็นเทวดาแล้ว ถ้าพระองค์จะแสดงพระพุทธานุภาพอันประกอบไปด้วยอิทธิฤทธิ์ มีประการต่าง ๆ มนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่เชื่อฤทธิ์พระพุทธานุภาพ และพาลให้คิดไปว่า เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของเทวดา ก็จะทำให้ไม่เชื่อฤทธิ์พระพุทธานุภาพ และพาลให้คิด ไปว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของเทวดา ก็จะทำให้ไม่เชื่อฟังใน พระพุทธโอวาท และปฏิบัติ ตาม เมื่อไม่มีการปฏิบัติแล้ว ปฏิเวธเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมาย ที่พระองค์ทรงตั้งไว้ก็จักสำเร็จไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ทรงมาอุบัติบังเกิดขึ้นเฉพาะ
ในมนุษย์โลกเท่านั้น อันเหมาะสมแก่การแสดงพระพุทธานุภาพให้ปรากฏได้เต็มที่เช่นนี้ เป็นธรรมเนียมประเพณีของพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์สืบมาแต่ปางบรรพ์

ในพุทธกิจประจำวันประการหนึ่ง คือ ทรงบิณฑบาตในยามเช้า หลังทรงกระทำภัตกิจแล้ว ก็จะทรงประทานโอกาสให้ พระสงฆ์สาวกได้เข้าเฝ้า เพื่อรับฟังพุทโธวาทประจำวัน นั้น พระพุทธองค์ทรงเปล่งกระแสพุทธฏีกาเป็นโอวาทานุสาสนีแด่พระสงฆ์สาวกทั้งปวงว่า

“ภิกฺขเว อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ,  ทุลฺลโภ พุทฺธุปปาโท โลกสฺมึ,
ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺต ปฏิลาโภ,  ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ,
ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา,   ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ”

“ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย !
ขอเธอทั้งหลายจงรักษาตนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด
การที่จะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลก
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากยิ่ง

การที่จะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก
การที่เป็นมนุษย์แล้วถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นสิ่งที่ทำได้โดยยาก
การที่เป็นผู้มีศรัทธาจะได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
ก็เป็นสิ่งยากยิ่ง
และการที่จะได้มีโอกาสสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาของ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ก็เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก”