"พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท"

ในพระไตรปิฎกภาษาบาลีกล่าวถึงพระพุทธเจ้าไว้ ๒ ประเภท คือ

  • พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง แล้วประกาศพระศาสนา
  • พระปัจเจกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เฉพาะตน ไม่ได้ประกาศพระศาสนา

ต่อมาในคัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาของอังคุตตรนิกาย พระพุทธโฆสะได้กล่าวถึงพุทธะทั้งหมด ๔ ประเภท อีกประเภท ๒ ประเภทที่เพิ่มเข้ามา คือ

  • จตุสัจจพุทธเจ้า คือพระอรหันตสาวก
  • สุตพุทธเจ้า คือผู้เป็นพหูสูต ได้ศึกษาพระพุทธพจน์มามาก

พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท
พระพุทธเจ้ามีอยู่ ๓ ประเภท ตามกำลังบุญบารมีที่ได้สร้างสั่งสมมา

พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความปรารถนาอบรมบ่มบำเพ็ญบารมีเพื่อ “พระพุทธภูมิ” นั้น ความ
ปรารถนาเพื่อจักได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น ย่อมมีมโนมั่นคงในหฤทัยไม่
หวั่นไหวในพระพุทธภูมิ ถึงแม้พลาดพลั้งไปถือกำเนิดในภพภูมิที่มิใช่มนุษย์ก็ดี เช่น กำเนิดในสัตว์เดียรัจฉานก็ย่อมยังรักษาน้ำใจอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วย อุตสาห วิริยะ นั่นเป็นน้ำใจพระโพธิสัตว์ทั้งหลายซึ่งพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญพระบารมีเพื่อ พระโพธิญาณแห่งการตรัสรู้เป็น “พระพุทธเจ้า” นั้นแบ่งประเภทของการสร้างสม อบรมบารมีแห่ง พระพุทธเจ้าเป็น  ๓ ประเภท คือ

  • พระปัญญาธิกพุทธเจ้า 
  • พระสัทธาธิกพุทธเจ้า
  • พระวิริยาธิกพุทธเจ้า

พระปัญญาธิกพุทธเจ้า 
พระปัญญาธิกพุทธเจ้า  คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมอบรมบารมีด้าน “ปัญญา”
อย่างแก่กล้าแต่มีพระศรัทธาน้อย จึงใช้เวลาสั่งสมบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าอีก
สองประเภท ซึ่ง เวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ดังนี้คือ

  • เมื่อเริ่มแรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
    พระองค์หนึ่ง”
    แต่ยังไม่ได้ออกโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้น ออกมาต้องใช้เวลา
    ในการอบรมบ่ม พระบารมี นานถึง ๗ อสงไขย
  • ครั้งที่สองต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า 
    “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต กาลเบื้องหน้าให้จงได้”

    ดังนี้ก็ต้องใช้เวลา อบรมบ่มพระบารมีอีก ๙ อสงไขย 
  • ครั้งที่สามจึงได้รับคำลัทธยาพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
    พระองค์หนึ่งว่า “จักได ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรมพระบารมีธรรมอีก ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้นพระพุทธเจ้าประเภท พระปัญญาธิกพุทธเจ้า นี้ ต้องใช้เวลาในการอบรม
สั่งสมพระบารมี รวมเป็นเวลาทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป  แต่หากแม้ พระพุทธเจ้าประเภท ปัญญาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว  หากแม้พระองค์ท่านจะละความปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามี
พระทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือ ปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพาน
ในชาตินั้น  เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ เฉพาะพระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนา บาทพระคาถาที่ ๓ ยังไม่ทันจบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อม กับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ด้วยทรงมีพระปัญญาแก่กล้า สามารถบรรลุ มรรคผลธรรมวิเศษอย่างรวดเร็วจึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อุคฆฏิตัญญู โพธิสัตว์” หรือ องค์พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาคมกล้า สามารถรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว

พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า
พระสัทธาธิกพุทธเจ้า  คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมอบรมบารมีด้าน “ศรัทธา”
อย่างแก่กล้ายิ่งนัก แต่มีพระปัญญาปานกลางจึงใช้เวลาสั่งสมพระบารมีอย่างปานกลาง ซึ่งเวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ดังนี้คือ

  • เมื่อเริ่มแรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
    พระองค์หนึ่ง”
    แต่ยังไม่ได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้นออกมา ต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มพระบารมีนานถึง ๑๔ อสงไขย
  • ครั้งที่สองต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า
    “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้”
    ดังนี้ก็ต้องใช้เวลา อบรมบ่มพระบารมีอีก ๑๘ อสงไขย 
  • ครั้งที่สามจึงได้รับคำลัทธยาพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    ว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรม
    พระบารมีธรรม อีก ๘ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้นพระพุทธเจ้าประเภท พระสัทธาธิกพุทธเจ้า นี้ ต้องใช้เวลาในการอบรมสั่งสม
พระบารมี รวมเป็นเวลาทั้งหมด ๔๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป  แต่หากแม้
พระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว  หากแม้พระองค์ท่าน จะละความ ปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามี
พระทัยน้อม ไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพาน ในชาตินั้น  เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้แล้ว ตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ เฉพาะพระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนา บาทพระคาถาที่ ๔ ยังไม่ทันจบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จ เป็นพระอรหันตสาวก พร้อม กับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายได้อย่าง ปานกลาง สามารถบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษได้ อย่างไม่เร็วไม่ช้า จึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิปจิตัญญูโพธิสัตว์” หรือ องค์ พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาเป็นมัธยม สามารถรู้ธรรมโดยไม่เร็วไม่ช้า

พระวิริยาธิกพุทธเจ้า 
พระวิริยาธิกพุทธเจ้า  คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมอบรมบารมีด้าน
“ความเพียร” อย่างแก่กล้า ทรงมีพระวิริยะยิ่งนัก แต่ทรงมีพระปัญญาน้อย จึงใช้เวลาสั่งสมพระบารมีอย่างยาวนานมากกว่า พระพุทธเจ้าประเภทอื่น ซึ่งเวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ดังนี้คือ

  • เมื่อเริ่มแรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
    พระองค์หนึ่ง”
    แต่ยังไม่ได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้นออกมาต้องใช้เวลา ในการอบรมบ่มพระบารมี นานถึง ๒๘ อสงไขย
  • ครั้งที่สองต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า
    “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้” ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอบรมบ่มพระบารมีอีก ๓๖ อสงไขย 
  • ครั้งที่สามจึงได้รับคำลัทธยาพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    ว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรมพระ
    บารมีธรรมอีก ๑๖ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้นพระพุทธเจ้าประเภท พระวิริยาธิกพุทธเจ้า นี้ ต้องใช้เวลาในการอบรม
สั่งสมพระบารมี รวมเป็นเวลาทั้งหมด ๘๐ อสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัป  แต่หากแม้ พระพุทธเจ้าประเภท สัทธาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว  หากแม้พระองค์ท่านจะละความปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามี
พระทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือ ปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพาน
ในชาตินั้น  เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้แล้วตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ เฉพาะ พระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนา บาทพระคาถาที่ ๔ จบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัม ภิทาญาณ ทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษได้ช้ากว่า พระโพธิสัตว์ประเภท อื่น จึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เนยยโพธิสัตว์” หรือ องค์พระโพธิสัตว์ ผู้มีปัญญาหย่อน สามารถรู้ธรรมได้ช้ากว่าพระโพธิสัตว์ประเภทอื่น

พระพุทธเจ้า ๓ ประเภทที่เผยแผ่ธรรมและไม่เผยแผ่ธรรม
ในชั้น อรรถกถา จำแนกพุทธะออกเป็น ๓ จำพวกด้วยกันได้แก่

  • พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเรียกเพียง "พระพุทธเจ้า" คือบุคคลที่ตรัสรู้
    ด้วยพระองค์เอง และสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธนั้น
    พระพุทธเจ้า พระองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ (พระโคตมโคดมพุทธเจ้า)
    เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบรรดา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
  • พระปัจเจกพุทธะ ซึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า (อ่านว่า พระ-ปัด-เจก-กะ-พุด-
    ทะ-เจ้า) คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่มิได้เผยแผ่ธรรม หรือมิได้สอน
    ให้ผู้อื่นรู้ตาม
  • อนุพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้เนื่องด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ผู้ที่ตรัสรู้ด้วยเหตุนี้เรียกว่า พระสาวก  

ในอรรถกถาบางแห่งจำแนกเป็น ๔ ดังนี้

๑.  พระสัพพัญญูพุทธะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
๒.  ปัจเจกพุทธะ
๓.  จตุสัจจพุทธะ (สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล)
๔.  สุตพุทธะ (ผู้เป็นพหูสูตร)