"ความหมายของคำว่าพุทธะ"
พุทธะ ตามภาษาบาลใน พระพุทธศาสนา พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
หมายถึง บุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้วอย่างถ่องแท้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายเถรวาท
และมหายาน ต่างก็นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกัน แต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน
- ฝ่ายเถรวาท ให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระโคตมโคดมพุทธเจ้า และกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสำคัญเท่า
- ฝ่ายมหายาน นับถือพระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมด และมีการสร้างพระพุทธเจ้าเพิ่มเติมขึ้นมา จนบางองค์มีลักษณะคล้ายเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่าพระพุทธเจ้า พระโคตมโคดม พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง ๘๐ ปี ก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราช ซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ ๕๔๓ ปีก่อนคริสตกาลตามตำราไทย อ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ ๔๘๓ ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
"พระพุทธศาสนา"
พระพุทธศาสนา คำนี้ประกอบด้วยคำว่า พุทธะ ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ กับคำว่า ศาสนา ที่
แปลว่า คำสั่งสอน รวมกันเข้าเป็น พุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของผู้รู้ เมื่อพูดว่า พุทธศาสนา ความเข้าใจก็ต้องแล่นเข้าไปถึงลัทธิปฏิบัติ และคณะบุคล ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติในลัทธปฏิบัตินั้นไม่ใช่มีความหมายแต่เพียงคำสั่งสอน ซึ่งเป็นเสียงหรือเป็นหนังสือหรือเป็นเพียงตำรับตำราเท่านั้น พระพุทธศาสนา ที่เราทั้งหลายในบัดนี้ ได้รับนับถือ และปฏิบัติเนื่องมาจากอะไร คือเราได้อะไรจากสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธศาสนานั้นมานับถือ ปฏิบัติในบัดนี้
เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเราได้หนังสืออย่างหนึ่ง บุคคล อย่างหนึ่ง
หนังสือนั้น ก็คือ ตำราที่แสดงพระพุทธศาสนา บุคคนั้น ก็คือ พุทธศาสนิกที่แปลว่าผู้นับถือพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกนี้มิใช่หมายเพียงแต่คฤหัสถ์ หมายความถึงทั้งบรรพชิตคือนักบวช และคฤหัสถ์คือผู้ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา พูดอีกอย่างหนึ่งได้แก่พุทธบริษัทคือหมู่ของผู้นับถือพระพุทธเจ้า ดังที่เรียกว่า ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ในบัดนี้ ภิกษุณีไม่มีแล้ว ก็มีภิกษุกับสามเณรและอุบาสก
อุบาสิกา หรือบุคคที่เรียกว่า พุทธมามกะ พุทธมามิกา ก็รวมเรียกว่าพุทธบริษัท หรือพุทธศาสนิกทั้งหมดคือในบัดนี้มีหนังสือซึ่งเป็น ตำราพระพุทธศาสนา และมีบุคคลซึ่งป็นพุทธศาสนิกหรือเป็นพุทธบริษัททั้ง ๒ อย่างนี้ หนังสือก็มาจากบุคคลนั่นเอง คือ บุคคลที่เป็นพุทธศาสนิกหรือเป็นพุทธบริษัทได้เป็นผู้ทำ หนังสือขึ้น และบุคคลดังกล่าวนี้ ก็ได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลและสืบต่อมาตั้งแต่จากที่เกิดของพระพุทธศาสนา มาจนถึงในต่างประเทศของประเทศนั้น ดังเช่นในประเทศไทยในบัดนี้ คือว่าได้มีพุทธศาสนิกหรือพุทธบริษัทสืบต่อกันมา จึงมาถึงเราทั้งหลายในบัดนี้ และเราทั้งหลายในบัดนี้ก็ได้เป็นพุทธศาสนิก คือ พุทธบริษัทในปัจจุบันและคนรุ่นต่อๆ ไปก็จะสืบต่อไปอีก
เมื่อทราบว่าเราในบัดนี้ได้ทราบพระพุทธศาสนาจากหนังสือและจากคณะบุคคล ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกดังที่กล่าวมาโดยย่อนี้แล้วก็ควรจะทราบต่อไปว่า เมื่อศึกษาจากหนังสือและบุคคลที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นครูบาอาจารย์ต่อๆ กันมา จึงได้ทราบว่าต้นเดิมของพระพุทธศาสนานั้น ก็คือ "พระพุทธเจ้า"
คำว่า พระพุทธะ แปลว่า พระผู้รู้ ในภาษาไทยเราเติมคำว่า เจ้า เรียกว่า พระพุทธเจ้า คือเอาความรู้ของท่านมาเป็นชื่อ ตามพุทธประวัติที่ทราบจากหนังสือทางพระพุทธ
ศาสนาดังกล่าวนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นบุคคล คือ เป็นมนุษย์เรานี่เอง ซึ่งมีพระประวัติดั่งที่แสดงไว้ในพระพุทธประวัติ แต่ว่าท่านได้ค้นคว้าหาความรู้จนประสบความรู้ที่เป็น โลกุตระ คือ ความรู้ที่เป็นส่วนเหนือโลก หมายความง่ายๆ ว่า ความรู้ที่เป็นส่วนโลกิยะ หรือ เป็นส่วนโลกนั้น เมื่อประมวลเข้าแล้วก็เป็นความรู้ที่เป็นในด้านสร้างบ้าง ในด้านธำรงรักษาบ้าง ในด้านทำลายบ้าง ผู้รู้เองและความรู้นั้นเองก็เป็นไปในทางคดีโลก ซึ่งต้องเป็นไปตามคติธรรดาของโลก
ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะต้องเกี่ยวข้องอยู่กับโลก นอกจากนี้ยังเป็นทาสของตัณหา คือ ความดิ้นรนทะยานอยากของใจ ถึงจะเป็น เจ้าโลกแต่ไม่เป็นเจ้าตัณหา ต้องเป็นทาสของตัณหาในใจของตนเอง จึงเรียกว่ายังเป็น โลกิยะ ยังไม่เป็นโลกุตตระ คือ อยู่เหนือโลก แต่ความรู้ที่จะเป็นโลกุตระ คือ อยู่เหนือโลก ได้นั้นจะต้องเป็น ความรู้ที่ทำให้ หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ดั่งกล่าวได้ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม ซึ่งทำให้เป็นโลกุตระ คือ อยู่เหนือโลก คือทำให้ท่านผู้รู้นั้น เป็นผู้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ดั่งกล่าวนั้น ท่าน ผู้ประกอบด้วยความรู้ดั่งกล่าวมานี้ และ ประกาศความรู้นั้นสั่งสอน ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นต้นเดิมของ พระพุทธศาสนา
พระธรรม ทีแรกก็เป็นเสียงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เป็นเสียงที่
ประกาศ ความจริงให้บุคคลทราบธรรมะ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เสียงที่ประกาศ ความจริงแก่โลกนี้ก็เรียกกันว่าพระธรรมส่วนหนึ่งหรือเรียกว่าพระพุทธศาสนา คือ เป็นคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเป็นคำสั่ง เป็นคำสอน ข้อปฏิบัติที่คำสั่งสอน นั้นชี้ก็เป็น พระธรรม ส่วนหนึ่ง ผลของการปฏิบัติก็เป็นพระธรรมส่วนหนึ่ง เหล่านี้เรียกว่า พระธรรม หมู่ชนได้ฟังเสียงซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ได้ความรู้พระธรรม คือ ความจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม ธรรมะที่อยู่เหนือโลก ตามพระพุทธ เจ้า เรียกว่า พระสงฆ์
พระสงฆ์ คือหมู่ของชนที่เป็นสาวก คือ ผู้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติพระธรรม จนได้เป็นผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า สงฆ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า พระอริยสงฆ์ มุ่งเอาความรู้เป็นสำคัญ เหมือนกัน ไม่ได้มุ่งว่าจะต้องเป็นคฤหัสถ์หรือจะต้องเป็น
บรรพชิต และเมื่อรู้พระธรรม ของ พระพุทธเจ้าก็ประกาศตนนับถือพระพุทธเจ้า ที่มีศรัทธาแก่กล้าก็ขอบวชตาม ที่ไม่ถึงกับขอ บวชตาม ก็ประกาศตนเป็นอุบาสก
อุบาสิกา จึงได้เกิดเป็นบริษัท ๔ ขึ้น คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ในบริษัท ๔ นี้ หมู่ของภิกษุก็เรียกว่าพระสงฆ์เหมือนกัน แต่เรียกว่าสมมติสงฆ์
สงฆ์โดยสมมติ เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัย ด้วยวิธีอุปสมบทรับรองกันว่า เป็นอุปสัมบัน หรือเป็นภิกษุขึ้น เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทำกิจของสงฆ์ก็เรียกว่าสงฆ์
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นอริยสงฆ์ทั้ง ๓ นี้ รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสรณะที่พึ่งอย่างสูงสุด ในพระพุทธศาสนา
ความเป็นอริยสงฆ์นั้นเป็นจำเพาะตน ส่วนหมู่แห่งบุคคลที่ดำรงพระพุทธศาสนาสืบต่อมา ก็คือพุทธบริษัทหรือพุทธศาสนิกดังกล่าวมาข้างต้น ในพุทธบริษัทเหล่านี้ ก็มีภิกษุสงฆ์ นี่แหละเป็นบุคคลสำคัญซึ่งเป็นผู้พลีชีวิตมาเพื่อปฏิบัติดำรงรักษาพระพุทธศาสนา นำพระพุทธศาสนาสืบ ๆ ต่อกันมา จนถึงในบัดนี้
|