"กาลเวลา"

าลเวลา

เมื่อกล่าวถึงกำเนิดจักรวาล โลก และมนุษย์ ซึ่งที่สุดได้มีวิวัฒนาการจนบังเกิดมี พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ และพระโพธิสัตว์ ก็ควรกล่าวถึงเรื่องกาลเวลา กัปหรือกัลป์ 
อสงไขย เพราะพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี และพระโพธิสัตว์
สิทธัตถะ หรือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือ พระ
สมณโคตม ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง ๒๐ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป จำเดิมแต่
ดำริเป็นพระพุทธเจ้า จนถึง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปสุดท้ายที่เป็นสุเมธดาบส

ความคิดในเรื่องกาลเวลาของโลกได้มีกล่าวในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็น
คัมภีร์ชั้นแรกก็มี ชั้นหลังก็มี ซึ่งความคิดในเรื่องวิธีหมายรู้ในเรื่องกาลเวลานี้น่าจะสรุป
ได้เป็น ๒ วีธี คือ

  • นับด้วยจำนวนสังขยา หรือนับด้วยตัวเลข เช่น ๑..๒..๓...
  • กำหนดด้วยอุปมา หรือด้วยเครื่องกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อมากเกินไปที่จะนับด้วยสังขยาหรือตัวเลข

การกำหนดดังกล่าวดังวิธีที่ ๒ นี้ จึงเป็นที่มาของคำว่า กัป หรือ กัปปะ ในภาษามคธ
หรือ กัลปในภาษาสันสกฤต เพราะคำนี้แปลอย่างหนึ่งว่า กำหนด  หรือ สมควร 
ดังนั้น ในความหมายนี้ กัป หรือ กัลป์ คือ กำหนดอายุของโลก หมายถึง ระยะเวลา ตั้งแต่กำเนิดของโลกจนโลกสลาย ซึ่งกัปหรือกัลป์ที่ยาวจนนับจำนวนไม่ได้นี้เรียกว่า
มหากัป
  และอายุของกัปแต่ละกัปที่ล่วงไปจนนับไม่ได้ว่าเวลาล่วงเลยมาแล้วกี่กัปนี้ รวมเรียกกัปที่นับไม่ได้นั้นว่า อสงไขย ซึ่งแปลว่า นับไม่ถ้วน

กาลเวลาทางพุทธศาสนาที่พบเจอกันบ่อย ๆ ได้แก่
  ๑. กัป หรือ กัลป์
  ๒. อสงไขยปี
  ๓. รอบอสงไขย
  ๔. อันตรกัป
  ๕. อสงไขยกัป
  ๖. มหากัป
  ๗. อสงไขย
  ๘. พุทธันดร

กัป หรือ กัลป์
ในความหมายแรก หมายถึง อายุกัป คือระยะเวลาที่เท่ากับอายุเฉลี่ยของมนุษย์ยุคนั้น
ซึ่งผันแปรตั้งแต่ ๑๐ - อสงไขยปี สมัยพุทธกาลอายุกัปเท่ากับ ๑๐๐ ปี ที่พระพุทธเจ้า
ตรัสว่า ผู้บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ สามารถมีอายุอยู่ได้ตลอดกัป ก็หมายถึงมีอายุอยู่ได้
๑๐๐ ปี นั่นเอง และเนื่องจากเวลานี้อยู่ในช่วงอายุที่ลดลง ทุก ๑๐๐ ปี อายุมนุษย์จะ
ลดลง ๑ ปี ปัจจุปัน อายุกัปของเราจึงเหลืออยู่เพียง ๗๕ ปีเท่านั้น ทั้งนี้ตั้งแต่พระ
พุทธองค์ ทรงประสูติ นับเวลาเป็นพุทธศักราชได้ ๒๕๕๐ เกินมานิดหน่อย เท่ากับ
ผ่านมาในส่วน ๑๐๐ ลดลง ๑ เท่ากับลดลง ๒๕ ปี คำว่ากัป หรือกัปป์ หรือกัปปะ เป็น
ภาษาบาลี ส่วนภาษาสันสกฤติ ใช้คำว่า กัลป์ สรุปแล้ว กัป กับ กัลป์ ก็คือสิ่งเดียวกัน

อสงไขยปี
ก็คือ จำนวนปีที่ขึ้นต้นด้วย ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว ตัวเลขนี้เป็นอายุของมนุษย์ยุค
สร้างโลก เมื่อโลกเกิดขึ้นใหม่ พระพรหมที่หมดอายุก็จุติมาอุบัติเป็นสัตว์โลกผู้มีจิต
ประภัสสร เดินทางโดยการเหาะได้ มีอาหารอันเป็นทิพย์ มีศีลธรรมดีดุจพระพรหม
อาย จึงยืนยาวถึงอสงไขยหนึ่ง

รอบอสงไขย
ต่อมา พรหมที่มาจุติเป็นมนุษย์เริ่มไปบริโภคง้วนดินซึ่งเป็นอาหารหยาบ จิตก็เริ่มหยาบ
กายก็เริ่มหยาบ กิเลสก็พอกหนา เหาะไปไหนไม่ได้เพราะการบริโภคอาหารหยาบ จึงทำให้ร่างกายหนัก กลายเป็นมนุษย์เดินดิน อายุก็ค่อยๆ ลดลง ทุก ๑๐๐ ปี ลดลง ๑ ปี
จนเหลือแค่ ๑๐ ปี ยุคนั้นก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี มนุษย์ฆ่าฟันกันกินกันเป็นอาหาร ศีลธรรม
ก็ลดถอยลง พอฆ่ากันตายเกือบหมดโลก พวกที่เหลือสังเวชใจ เริ่มรักษาศีลกันอีกครั้ง
อายุก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทุก ๑๐๐ ปี ก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกลับไปยืนยาวถึงอสงไขยปีอีกครั้ง
เวลาทั้งหมดนี้ เรียกว่ารอบอสงไขย

อันตรกัป ก็คือ ๑ รอบอสงไขยนั่นเอง

อสงไขยกัป
โลกนี้มีเกิดดับเป็นวัฏจักร รอบหนึ่งใช้เวลาทั้งสิ้น ๒๕๖ อันตรกัป คือ
๑. โลกกำลังถูกทำลาย อาจโดนไฟประลัยกัลเผา หรือน้ำประลัยกัลตกกระหน่ำ
     หรือ ลมประลัยกัลพัดทำลาย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายย่อยยับจนไม่เหลือสิ่งใด      ทำลายตั้งแต่มหานรกขึ้นไปถึงพรหมอีกหลายชั้น ใช้เวลาทำลายทั้งสิ้น
     ๖๔ อันตรกัป หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเฉพาะว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป
๒. จากนั้นทุกอย่างก็ว่างเปล่า มืดมิด ไม่มีอะไรเลย เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป
     หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป
๓. จากนั้นโลกก็จะเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่ มีผืนน้ำ มีแผ่นดิน รวมเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป
     หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป
๔. จากนั้นโลกจึงเป็นที่มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ได้ เป็นเวลาอีก ๖๔ อันตรกัป
     หรือเรียกว่า ๑ อสงไขยกัป โดยมีชื่อเรียกเฉพาะว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป

มหากัป
คือเวลา ๑ รอบวัฏจักร การแตกดับของโลก หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัป
๑ มหากัป อุปมาว่ามีพื้นที่ขนาดกว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์
บรรจุเมล็ดพันธุ์ผักกาดไว้เต็ม ทุก ๑๐๐ ปีก็มาหยิบเมล็ดผักกาดออกเมล็ดหนึ่ง
แม้จะหยิบเมล็ดผักกาดออกหมดแล้วก็ยังไม่นานเท่า ๑ มหากัป
คำว่ามหากัป มักเรียกสั้นๆ ว่า กัป

อสงไขย
คงเคยได้ยินคำว่า ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป คำว่าอสงไขยในที่นี้หมายถึงระยะยาวนาน มาก นับเป็นจำนวนกัปแล้วยังนับไม่ได้ คือจำนวนกัปมากกว่า ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวเสียอีก ๔ อสงไขยกำไรแสนกัป ก็คือระยะเวลาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีในช่วง ปรมัตถ์ ก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

พุทธันดร

คือ ระยะเวลาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่อมา ตรัสรู้  เรียกว่า ๑ พุทธันดร

พุทธันดร ของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ยาวไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราอยู่ใน
อันตรกัปที่ ๑๒ และพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ในอันตรกัปที่ ๑๓ จากนั้นไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลยนานถึงอสงไขยหนึ่ง

ดังนั้น ๑ พุทธันดรของพระสมณโคดมพุทธเจ้าจึงยาวนานแค่ ๑ อันตรกัป ส่วน ๑ พุทธันดรของพระศรีอาริยเมตไตรยยาวนานถึงอสงไขยหนึ่ง