"โครงสร้างจักรวาล
ทางวิทยาศาสตร์"


สุริยจักรวาลทางวิทยาศาสตร์ ประกอบไปด้วยดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ต่างๆ ที่เป็นบริวารโคจรรอบดวงอาทิตย์ และทางวิทยาศาสตร์คำนวณได้ตั้งแต่ก่อเกิดสุริยะจักรวาล ถึงปัจจุบันนี้มีอายุเพียง ๔,๕๐๐ ล้านปี (๔,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐) แล้วดวงอาทิตย์ก็จะหมดพลังงานที่จะส่องแสงสว่างและระเบิดเป็นดาวแคระขาว(ดาวนิวตรอน) ในอีกประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปี (๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐) ข้างหน้าเมืื่อรวมกันแล้วอายุของสุริยะจักรวาลเรานี้จะอยู่ที่ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านปี (๑๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐) ดวงอาทิตย์จึงระเบิดกลายเป็นดาวแคระขาว(ดาวนิวตรอน)

มนุษย์ได้พยายามค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องโลกและจักรวาลมายาวนาน กาลิเลโอเป็นคนแรก
ที่ค้นพบว่า โลกกลม ความรู้ของกาลิเลโอเป็นความรู้ใหม่ แต่ความรู้นี้ขัดกับความเชื่อทาง ศาสนาของนักวิทยาศาสตร์ที่สอนกันมาว่าโลกแบน กาลิเลโอจึงถูกจับไปประหารชีวิต ภายหลังความรู้ดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับ เมื่อมนุษย์สามารถผลิตเครื่องมือที่ทำให้ สามารถมองเห็นดวงดาวต่าง ๆ ที่อยู่นอกโลก

ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบระบบสุริยะ(Solar System) ที่ประกอบด้วย
ดวงดาว ๙ ดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ และโลกของเราก็โคจรรอบดวงอาทิตย์นี้
ด้วยเช่นกัน ภายหลังนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า มีระบบดาราศาสตร์ที่ใหญ่กว่าระบบสุริยะ เรียกว่า กาแล็กซี

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบกาแล็กซี่ เป็นกลุ่มของดาวฤกษ์นับล้านดวง ซึ่งรวมอยู่ด้วยกันด้วยแรงดึงดูด ร่วมกันของดาวแต่ละดวง กาแล็กซี่มีขนาดน้อยใหญ่ต่างกันเช่นเดียวกับจำนวนของดาว กาแล็กซี่ ที่เล็กที่สุดอาจจะมีดาวอยู่เพียง ๑๐๐,๐๐๐ ดวง กาแล็กซ่ ที่ใหญ่ที่สุดอาจจะมีดาวถึง ๓ ล้านล้านดวง ดวงดาวต่าง ๆ เหล่านี้จะเคลื่อนที่รอบแกนกลางของกาแล็กซี่ด้วยความเร็วต่างกันตามระยะทาง พวกที่อยู่ใกล้แกนจะมีความเร็วมาก โดยใจกลางของกาแล็กซี่จะมีดาวฤกษ์อยู่เป็นจำนวนมาก และจะเริ่มน้อยลงเมื่ออยูบริเวณขอบของกาแล็กซี่

นักวิทยาศาสตร์เรียกกาแล็กซีของเราว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) กาแล็กซี ของเรามีลักษณะเป็นจานแบน ๆ ตรงกลางเป็นทรงกลม และมีแขนเป็นเกลียวคล้ายก้นหอย หรือกังหันหมุนอยู่รอบศูนย์กลาง ระบบสุริยะของเรามีตำแหน่งอยู่ตรงแขนของกาแล็กซี่

หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์มีเครื่องมือที่ทันสมัยยิ่งขึ้น ก็ค้นพบว่า กาแล็กซีที่มีอยู่นี้ไม่ได้มี อยู่เพียงกาแล็กซีเดียว แต่ยังมีกาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย ในปัจจุบันค้นพบว่ามีกาแล็กซี่ี ที่อยู่ใกล้ ๆ กับกาแล็กซี่ของเรา ชื่อว่า กาแล็กซีอันโดรเมดา และกาแล็กซี แมกแจลแลน และยังค้นพบต่อไปว่ามี จำนวนกาแล็กซ่ีมากมายรวมตัวเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ กลุ่มของ
กาแล็กซ่ีเหล่านี้รวมกันเป็นเอกภพ หรือเรียกว่า Universe นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า ในเอกภพหนึ่ง ๆ อาจจะมีจำนวนกาแล็กซี่มาก กว่าหนึ่งร้อยพันล้านกาแล็กซี่

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเกี่ยวกับเอกภพ ก็ได้พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับกำเนิดเอกภพ โดยคิดทฤษฎีขึ้นมาหลายทฤษฎี ในอดีตมีทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ คือ ทฤษฎีที่เห็นว่า จักรวาลคงที่และเป็นระบบที่ชัดเจน จนกระทั่งเมื่อมีการผลิตกล้อง Hubble ขึ้น ก็ได้เกิด ทฤษฎีใหม่ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด คือ ทฤษฎี Big Bang หรือ การระเบิดครั้งใหญ่ โดยนักวิทยาศาสตร์ส่องกล้องไปพบว่า ในจักรวาลหนึ่งจะเห็นดวงดาวหรือกาแล็กซีเริ่มเคลื่อนออกจากกัน จึงสันนิษฐานว่า การเกิดเอกภพขึ้นครั้งแรกนั้นเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ การระเบิดนั้นเริ่มระเบิดออกมาจากจุดศูนย์กลาง เมื่อระเบิดแล้วก็เกิดการกระจายตัวของฝุ่นละอองต่าง ๆ แล้วรวมตัวกันเป็นเกลียว เรียกว่า galaxy เป็นกาแล็กซีน้อยใหญ่ ขึ้นมา และเกิดตัวระบบใหญ่เรียกว่า Universe โดยมีจุดศูนย์กลางเรียกว่า จุด singularity นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังได้สังเกตการหมุนของ กาแล็กซี ทำให้ค้นพบสสารบางอย่างซึ่งทำให้ดวงดาวในกาแล็กซีเคลื่อนที่ได้อย่างช้า ๆ ถ้าหากไม่มีแรงโน้มถ่วงจากสสารลึกลับนี้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เหล่าดวงดาวในกาแล็กซี ก็จะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่านี้ นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งชื่อสสารนี้ว่า สสารมืด(Dark Matter) มีการประมาณกันว่าสสารมืดเป็นองค์ประกอบกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของมวลทั้งหมดในจักรวาล)

นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาดูแนวโน้มของเอกภพในอนาคต จึงคิดทฤษฎีเกี่ยวกับลักษณะการขยายตัวของเอกภพ และสรุปทฤษฎีว่า เอกภพอาจจะขยายตัวต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สุด หรือจะขยายตัวแล้วก็จะคงที่หรือจะค่อย ๆ หดตัวกลับมารวมกันและเกิดการชนกัน เป็นจุดจบของเอกภพ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นหากันต่อไป

แม้ว่าเราจะมีเครื่องมือที่ทันสมัย มีความละเอียดเพียงใด แต่เราก็สามารถมองเห็นได้เพียงเอกภพขนาดใหญ่ ซึ่งไม่รู้ถึงต้นกำเนิด และจุดจบ เพียงแต่อาศัยการสันนิษฐานเท่านั้น สิ่งที่สังเกตเห็นได้ในปัจจุบันนี้ยัง ไม่ได้บ่งบอกถึงที่ตั้งและลักษณะของภพภูมิตามที่พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงไว้เลย